ความพึงพอใจในการเดินทาง
ตอนที่ 1 Enoshima and Kamakura
ปี 2019 เราได้มีโอกาสลาออกจากงานและไปเที่ยวหลายๆประเทศในแถบเอเชีย และญี่ปุ่นก็เป็นหนึ่งในประเทศที่เราอยากกลับมาอีกครั้ง จึงตัดสินใจเลือกมาญี่ปุ่น แต่บังเอิญซื้อตั๋วมาในช่วง Golden week พอดี ซึ่งญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เที่ยวคนเดียวง่าย และครั้งนี้แน่นอนเรามาคนเดียว 555
ก่อนอื่นขอพูดถึงเจ้า Golden weekก่อน นั้นคืออะไร
“Golden week คือ วันหยุดที่ต่อเนื่องที่ยาวที่สุดของปีในญี่ปุ่น เป็นช่วงหยุดยาวที่คนญี่ปุ่นจะไปผักผ่อน กลับบ้านต่างจังหวัดเยี่ยมญาติ พบประสังสรรค์ต่างๆ ซึ่งจะมีช่วงสิ้นเดือนเมษายนไปจนถึงต้นเดือนพฤษภาคม” ดังนั้นช่วงเวลาที่เรามานั้นคนมหาศาลมากในโตเกียว แถมมีวันหยุดพิเศษเพิ่มมาจากปกติคือวันสถาปนาจักรพรรดิองค์ใหม่นั่นเอง ทำให้คนทุกภูมิภาคในญี่ปุ่นมารวมตัวกันที่โตเกียว โรงแรมในโตเกียวส่วนใหญ่ราคาสูงและถูกจองเต็มกันซะหมด รวมไปถึงที่เมืองอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นที่ นิกโก้ หรือ อิสุ ที่เราได้ไปในครั้งนี้ด้วย หากใครมาในช่วงนี้จึงแนะนำให้จองโรงแรมไว้ก่อนล่วงหน้าอย่างน้อย 3 เดือน เพราะเราเพิ่งจองทุกอย่างก่อนไปแค่เดือนเดียวเท่านั้น
การมาญี่ปุ่นครั้งนี้เราใช้เวลาทั้งหมด 14 วัน ก่อนจะบินต่อไปประเทศ เกาหลี จากนาริตะ โดยใน 14 วันนี้ได้มีโอกาสไปหลายๆที่แต่ส่วนมากจะอยู่ในโตเกียวและเมืองรอบๆนั่นเอง ใน 14 วันนี้เราขอแบ่งเป็น 6 พาร์ท
ตอนที่ 1 Enoshima and Kamakura > (หน้านี้ค่ะ)
ตอนที่ 2 Edo Tokyo Musuem-Asakusa-Nippori-Kanda
ตอนที่ 3 Edo Tokyo Open Air Architechural Museum-Shimokitazawa-Odaiba
ตอนที่ 4 Nikko
ตอนที่ 5 Fuchu,Tokyo Kurayami Festival
ตอนที่ 6 Izu,Shizuoka
พาร์ทนี้จะเป็นพาร์ทที่จะเล่าถึงการเดินทางในเมืองคานางาว่า ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ไม่ไกลโตเกียวเดินทางง่าย
…เรามาเริ่มกันเลย…
การเดินทางมาญี่ปุ่นครั้งนี้เราได้ใช้บริการสายการบินเวียตนามแอร์ไลน์มาลงที่ฮาเนดะเลย สะดวกสบายมากๆ เพราะตัวฮาเนะดะนั้น อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมเราเท่าไรโรงแรมที่เราพักอยู่ที่ Kawasaki ใกล้แหล่ง Shopping หลายที่มาก รวมถึงของกินก็เยอะมากอีกด้วยหากใครเน้นเที่ยว แถบ Kanagawa แนะนำที่นี่เลย ถือเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ไม่ไกลจากสนามบินฮาเนดะ เหมาะแก่การไป Minato Mirai,Yokohama และที่ท่องเที่ยวอื่นๆใน Kanagawa
จาก Kawasaki เราเดินทางด้วยรถไฟ สาย JR ต่อด้วย Odakyu ไปยัง สถานี Katase-Enoshima เพื่อไป Enoshima Suisokukan หรือ Enoshima Aquarium จริงๆแล้วครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่เรามาแถบนี้ แต่ครั้งที่แล้วไม่ได้มาสัมผัส พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ที่นี่เลย ก็ต้องขอลองมาหน่อย ด้วยความ Golden week และ เราดันเลือกมาสถานที่ยอดฮิตของครอบครัว และเด็กๆ แน่นอนมีเด็กๆญี่ปุ่นน่ารักให้ได้แอบมองเยอะเลย พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่นี่ค่อนข้างใหญ่พอใช้ได้ มีแบ่งเป็นหลายโซน มีตู้ปลาใหญ่และโชว์ให้อาหารปลาด้วย
เราต้องแทรกตัวไปอยู่ท่ามกลางเด็กๆ เพื่อสัมผัสกับความใหญ่โตของตู้ปลานี้ อายน้องๆมาก เพราะส่่วนใหญ่จะเป็นเด็กๆมากับครอบครัวที่ยื่นตื่นเต้นกับตู้ปลายักษ์
นอกจากนั้นยังมีการแสดงปลาโลมาด้วย
วันที่เรามานั้นฝนตกหนักมาก ต้องนั่งดูโชว์ท่ามกลางสายฝน แต่ความน่ารักของโลมาก็ทำให้เราลืมความเปียกไปเลย
หลังจากเดินชมจนทั่วพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ เราก็เดินทางไปสถานที่ต่อไปเพื่อหาข้าวกลางวัน นั่นคือที่ Kamakura โดย ขึ้นรถไฟสาย Enoden ซึ่งเป็นรถไฟสายหนึ่งที่วิ่งเลียบติดทะเลชายหาดโชนัน เห็นวิวเกาะเอโนชิมะ และหาอากาศดีก็อาจจะเจอฟูขิซังจากตรงนี้ได้ด้วย
ร้านที่เราไปนั้นเป็นร้านขายแกงกะหรี่ชื่อว่า キャラウェイ Caraway ตั้งอยู่ในถนนคนเดินใกล้สถานี ร้านน่าจะมีชื่อเสียงพอตัว เพราะพอไปถึงก็ต้องรอคิวนิดหน่อย ก่อนจะได้เข้าไปนั่งทานข้างใน
รสชาติของแกงกระหรี่ ถือว่าดีที่สุดในชีวิตตั้งแต่เคยกินมา 555 แต่มันคือเรื่องจริง ขนาดตอนกินรู้สึกไม่สบายมากๆก็ยังรู้สึกถึงความอร่อยมากมาย
จากนั้นเราก็เดินทางไปยังวัด Hokoku-ji โดยรถบัส ด้วยความที่การมาคามาคุระของเราในครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก
เราจึงเลือกที่จะมาวัดที่เรายังไม่เคยไป และดูจากรูปแล้วทำให้รู้สึกถึง Arashiyama ก็เพราะว่ามีป่าไผ่นั่นเอง หากใครมาโตเกียวแล้วอยากได้บรรยากาศคล้าย Arashiyama ใน เกียวโตแนะนำที่นี่เลย และค่าเข้าวัด 300 เยนเท่านั้น
มีสวนสไตล์ญี่ปุ่นภายในวัด ก่อนจะมีทางเข้าไปยังป่าไผ่ ซึ่งเป็นทางเดินเล็กตลอดทาง นอกเหนือจากป่าไผ่แล้ว ที่นี่ยังมีชาเขียวรสชาติดีๆ สามารถจ่ายเพิ่มตรงทางเข้า 300 เยนได้เลยแต่ต้องมาก่อน 3 โมงครึ่งนะ เพราะที่นี่เปิดถึง 4 โมงก็จริงแต่ตรงส่วนของชาเขียวจะเปิดถึงแค่ 3 โมงครึ่งเท่านั้น
ทางเข้าป่าไผ่
ที่นั่งจะหันออกชมวิวป่าไผ่ พร้อมชิมชาเขียวร้อนๆ บรรยากาศดีมากๆ
คาเฟ่หน้าตาแบบนี้
อร่อยกลมกล่อม ขอสองแก้วเลยค่ะ
ข้อควรจำ
วัดปิด 29 ธันวาคม ถึง 3 มกราคม ของทุกปี
การเดินทางจาก สถานี Kamakura
โดยแทกซี่ ใช้เวลาประมาณ 7 นาที ค่าโดยสารประมาณ 800-1000 เยน
โดย Keihin Kyukou bus ใช้เวลา 12 นาที ไปยังป้าย Joumyou-ji และสามารถเดินจากป้ายรถบัส 3 นาที ไปยังวัด ได้เลย
ดื่มด่ำกับบรรยากาศในป่าไผ่ใกล้เมืองหลวงจนรู้สึกดีขึ้นจากอาการมึนหัว เราก็เดินทางกลับไปยังสถานีคามาคุระ และเดินเล่นในโซนที่เป็นเหมือนถนนคนเดิน และวัดในละแวกใกล้เคียง ก่อนจะเดินทางกลับไปยังคาวาซากิ ต่อไป วันนี้หนาวมากจนรู้สึกไม่สบายเลยทีเดียว ขนาดสิ้นเดือนเมษายนแล้ว
ขนาดฝนตกคนก็ยังเดินกันเยอะแยะ หนาตาเลยทีเดียว
ในพาร์ทต่อไปจะเป็นการเดินทางในโตเกียวของเราซึ่งเป็นโตเกียวครั้งที่ สาม ที่เราได้มาเยือนเมืองนี้อีกครั้ง ติดตามกันต่อในพาร์ทต่อไปนะคะ