blog ท่องเที่ยวญี่ปุ่น

One day in Tokyo finding Cherry blossom ตามหาเจ้าซากุระและคุณน้าชาวญี่ปุ่นที่โตเกียว

ผู้ร่วมเดินทาง

| คนเดียว |

ค่าใช้จ่ายในการเดินทางต่อหนึ่งคน

| 10000 - 19999thb |

ระยะเวลาการเดินทาง

| 1 วัน |

ยานพาหนะที่ใช้ในการเดินทาง

|

รถไฟ | 

เที่ยวแบบไหน

| ไปด้วยตนเอง |

ชื่อสถานที่หรือภูมิภาคที่ไป

  • Tokyo
  • Ueno Station
  • วัดเซนโซจิ (Senso-ji  浅草寺)
  • ย่านอาซากุสะ (Asakusa)
  • Rainbow Bridge (レインボーブリッジ)
  • Tokyo Skytree (東京スカイツリー)
  • Odaiba Statue of Liberty Replica (自由の女神像)

สวัสดีค่ะ จากสถานการณ์โลกตอนนี้ที่มีการระบาดของเชื้อ COVID–19 ทำให้หลาย ๆ คนต้องยกเลิกทริปไปประเทศญี่ปุ่นในช่วงนี้ ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิ วันนี้เราเลยจะพาทุกคนไปชมบรรยากาศฤดูใบไม้ผลิกันที่โตเกียว ในช่วงเริ่มแรกของฤดูซากุระบาน ไปตามหาเจ้าดอกซากุระกันใน 1 วัน แบบฉายเดี่ยว และเป็นไอเดียสำหรับใครที่จะมาญี่ปุ่นในช่วงที่ซากุระเพิ่งเริ่มบาน หรือใครที่มาต่อเครื่อง มีเวลาน้อย ฯลฯ แล้วไม่รู้จะไปไหนดี ลองมาเที่ยวแบบโนแพลนกันค่ะ 55

เกี่ยวกับพักในโตเกียว

เนื่องจากทริปนี้เรามาแบบไม่มีแพลน รู้แค่ว่ามีเวลาวันเดียวและต้องขึ้นเครื่องกลับตอนเช้า เราจึงเลือกโฮสเทลแถว ๆ สถานีรถไฟอูเอโนะ (Ueno Station 上野駅) เพื่อที่จะได้นั่งรถไฟกลับสนามบินในตอนเช้าได้ง่ายและประหยัด55  เราพัก SPACE HOSTEL TOKYO เพราะราคาโอเคสุดในขณะนั้น เนื่องจากจองกะทันหันทำให้เหลือตัวเลือกน้อยและราคาค่อนไปทางแพง ที่นี่โอเคเลย พนักงานต้อนรับน่ารักมาก ช่วยเหลือดีมาก พวกสิ่งอำนวยความสะดวกก็โอเคเลย

การเดินทางสู่โตเกียว

เรานั่ง Vietnam Airline แบบต่อเครื่องจากโฮจิมินห์ ไปลงที่สนามบินนาริตะ (Narita International Airport) ที่สนามบิน Tan Son Nhat International Airport ก็จะมีแบบที่นอนรอ กับแบบเป็นห้อง ๆ ให้ใช้บริการด้วยเผื่อใครมาต่อเครื่องที่นี่ เฝอ(อาหารเวียดนาม)อร่อยดี55

เวียดนามแอร์ไลน์เป็นสายการบินที่เราชอบที่สุดสายนึงเลย เพราะอาหารอร่อย ชาหอม55 แล้วก็พนักงานค่อนข้างเฟรนลี่กับเรา55 ไฟล์ทนี้ใช้เครื่องบิน Airbus A350 เป็นเครื่องใหม่นั่งสบาย บินยาวมีเมนูอาหารให้เลือกสองอย่างสำหรับไฟล์ทนี้

ส่วนขากลับเราใช้บริการของ Thai Lion Air ใช้เครื่องใหญ่บิน (Airbus A330) มีบริการของว่างนิดหน่อย เลือกที่นั่งไม่ฟรี แต่เราโชคดีที่ได้ตรงกลางนอนยาวสามที่นั่งสบายเลย อดดูฟูจิก็ไม่เป็นไรเพราะฟ้ามัว555

การเดินทางในโตเกียว

ทริปนี้เรามาแบบไม่ได้แพลนใด ๆ เพราะมาเรื่องงาน เราเลยไม่ได้ใช้ Pass อะไร เน้นซื้อตั๋วตามที่ที่เราจะไป ดู Google Map ประกอบ กับเลือกสายรถไฟที่ถูกที่สุดด้วย5555 แต่ก็ดีเพราะเรานั่งหลายสายผสมกัน พาสอาจจะไม่คุ้ม แถมเราเปลี่ยนแผนไปมาอีกตังหาก55 เลยใช้วิธีหยอดเงิน ซื้อบัตร รายรอบ ทำให้ค่ารถเป็นอะไรที่แพงสุดของทริป คือรวม ๆ แล้วประมาณ 1,100 บาท น่าจะมาจากค่ารถไฟจากสนามบินนาริตะถูกสุดก็สามร้อยบาทแล้ว

สรุปค่าใช้จ่ายต่าง ๆ

1 วันเราใช้เงินไปประมาณ 2,200 บาท

เป็นค่ารถประมาณ 1,100 บาท

ค่ากินประมาณ 550 บาท (มีคุณน้าชาวญี่ปุ่นเลี้ยงข้าวเย็น)

ค่าโรงแรมประมาณ 550 บาท (โฮสเทล)

นอกนั้นเป็นค่าของฝาก เสื้อกันฝน ของล่อตาล่อใจที่เยอะกว่าค่าเที่ยว 555

แผนการเดินทาง

  • ย่านสถานีรถไฟอูเอโนะ (Ueno Station 上野駅)
  • วัดเซนโซจิ (Senso-ji  浅草寺)
  • ย่านอาซากุสะ (Asakusa)
  • ชมวิวสะพาน Rainbow Bridge (レインボーブリッジ) ที่สวนสาธารณะริมน้ำข้าง ๆ Rainbow Bridge Observation Deck
  • ชมวิวยามค่ำคืนที่โตเกียวสกายทรี (Tokyo Skytree 東京スカイツリー)

พร้อมแล้วไปตามหาซากุระกับเวลา 1 วันในโตเกียวกัน

ตื่นเช้ามาบนเครื่องบินที่กำลังจะลงจอดที่สนามบินนาริตะ เราค่อนข้างนอนสบายเลยเพราะได้ที่นั่งตรงประตูฉุกเฉินพอดี ยืดขาได้สบาย ๆ 55

หลังจากนั้นเราจะไปนั่งรถไฟเข้าเมืองกันด้วยรถแบบที่ถูกที่สุด ถูกสุดก็ 1,030 เยนละนะ55 ซึ่งนั่งค่อนข้างนาน แต่ไม่เป็นไรเราเน้นประหยัด55 แต่ก็มีข้อดีนะทำให้เราได้เห็นวิวมากขึ้น และเห็นซากุระและดอกบ๊วยตามบ้านคนเริ่มบานกันแล้ว

สถานีอูเอโนะ (Ueno Station 上野駅) และ Ameyayokocho Market (アメヤ横丁)

นั่งมาจนถึงสถานีอูเอโนะ (Ueno Station 上野駅) เราก็แอบงงว่าถึงแล้วหรอเพราะกูเกิ้ลแมพไม่อัพเดท แต่คนออกไปหมดเลย เราเลยออกไปเช็คข้างนอกดูเจอฝรั่งมาถามเราว่ารถไฟไปสนามบินใช่เปล่า เราก็ถามกลับว่านี่สถานีอูเอโนะใช่มั้ย55 นักท่องเที่ยวงง ๆ มาเจอกัน

ออกมาจากชั้นใต้ดิน พบกับ Fresh Air ของโตเกียว(แต่ถ้าใครแพ้เกสรคงไม่เฟรชเท่าไหร่55 ใครที่แพ้ง่ายต้องระวังฤดูนี้ด้วยนะอาจจะมีสิวหรือจามได้) ได้ความรู้สึกแบบเฮ้ยเหมือนการ์ตูนที่เราเคยดูเลย คนเดินเร็ว ๆ คนเยอะ ๆ

เราเดินแวะเล่นย่านนี้แต่ร้านต่าง ๆ ยังไม่ค่อยเปิด แถวนี้คือน่าจะมีของช้อปปิ้งเยอะ แต่ก็เจอคนไทยทุกมุมตึกเช่นกัน ทำให้คิดว่าเป็นย่านช้อปปิ้งแน่นอน 55

ยังไม่ทันไรเราก็หาของกินแล้ว เพราะเดินผ่านร้านอาหารเยอะมาก และหิวมากด้วย เราเลยลองราเมงแบบที่เราไม่กล้าลองที่ไทย 55 ปกติคือไม่ได้ชอบราเมงขนาดนั้น แต่รู้สึกว่าเวลามากินที่นี่แล้วมันอร่อยจัง ทงคตสึราเมงเด้ออออ

กินอิ่มแล้วก็เตรียมตัวไปเที่ยวต่อเลย กะว่าเดี๋ยวมาช้อปปิ้งตอนเย็น อย่าไว้ใจคำว่าเดี๋ยวมา555

วัดเซนโซจิ (Senso-ji  浅草寺)

เรานั่งรถไฟมาที่สถานีอาซากุสะ (Asakusa Station 浅草駅) ด้วยราคา 170 เยน สถานีดูเงียบเหงาเล็กน้อย แต่พอเดินจากสถานีรถไฟจนมาถึงบริเวณใกล้วัดก็เริ่มพบกับหมู่มวลมหาประชาชีนักท่องเที่ยว555

มาคนเดียวก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีคนถ่ายรูปให้55 เราเจอนักท่องเที่ยวที่มาคนเดียวเหมือนกันมาเสนอข้อแลกเปลี่ยนแบบผลัดกันถ่าย ได้รูปกลับบ้านจ้า

แวะมาทั้งทีก็ไหว้พระสักหน่อย เสี่ยงเซียมซีสักนิด เดินเล่นรอบวัดจนมาเจอดอกบ๊วยสีขาว สีชมพู

จากวัดนี่มองไปเห็น Tokyo Skytree ด้วย

เจอแล้วซากุระจุดที่ 1 อยู่ในวัดนี่แหละ โอ้ยงามมาก นี่ขนาดต้นเดียวเองนะ เป็นซากุระที่สีค่อนข้างสด เนื่องจากเรามาช่วงเเรก ๆ ของฤดูใบไม้ผลิ ก็จะเจอเจ้าซากุระพันธุ์นี้ หากใครชอบสีอ่อนก็ต้องรอหน่อยน้า แต่อันนี้ก็แอบปลื้มปริ่มใจมากแล้ว น้องฟรุ้งฟริ้งมาก 555

เสียมซีบอกว่าเราจะเจอคนนั้น555 คือมาญี่ปุ่นทีไรได้เสียมซีที่ดีตลอดและก็แม่นนะ ยกเว้นเรื่องความรักนี่แหละ555

ดูและถ่ายรูปพักนึงเราก็ต้องไปต่อ ฝ่าฝูงชนที่กำลังหลั่งไหลมาเที่ยววัดออกไป ครั้งนี้เราจะออกอีกทางออกนึงซึ่งจะไปโผล่ตรง Kaminarimon Gate Senso-ji (浅草寺 雷門) ซึ่งเป็นซุ้มประตูทางเข้าที่คนส่วนใหญ่เข้ากันทางนี้ 55  ระหว่างทางก็จะเจอร้านขายของ ทั้งของฝากของกิน อารมณ์ของฝากตามวัด ที่ท่องเที่ยว เรียงยาวตลอดทางเดิน


Culture Tourist Information Center (浅草文化観光センター) ย่าน Asakusa

ออกมาจากประตูก็จะเจอเจ้าตึกนี้ เป็นตึกที่นักเรียนสถาปัตย์รู้จักดี สำหรับนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมวิวข้างบนได้ ฟรีนะ ข้างในก็จะมีพวกคาเฟ่ด้วย จะว่าไปย่านนี้มีคาเฟ่อยู่หลายที่ทีเดียว คาเฟ่เเมวก็มี

เราเดินไปต่อเพื่อขึ้นรถไฟไปสถานีซิมบาชิ (Shimbashi Station 新橋駅) เพื่อที่จะไปนั่งรถไฟสายยูริคาโมเมะ(Yurikamome) ต่อไปโอไดบะ

บรรยากาศระหว่างทางก็จะเหงา ๆ หน่อย ผู้คนอยู่ในตึกทำงานกันช่วงเวลานี้ บวกกับความมัวของท้องฟ้าและความหนาวของปลายฤดูหนาว นึกถึงหนัง Lost in Translation ขึ้นมาเลย โตเกียวเมืองเหงาแม้จะมีผู้คนมากมายตามสถานีรถไฟ555

รถไฟสายยูริคาโมเมะ(Yurikamome)

หรืออีกชื่อคือสายริงไก (Rinkai Line) เป็นรถไฟไร้คนขับ เป็นรถแล่นบนรางยกระดับ ทำให้เห็นวิวตึกอาคารในโตเกียว พอใกล้ถึงสถานีก็จะเห็นสะพานสายรุ้งกับโตเกียวเบย์(Tokyo Bay) ก็ได้บรรยากาศดี ตอนแล่นมีช่วงที่ดูอวกาศเล็ก ๆ แต่เราผ่านช่วงที่เเล่นผ่านโตเกียวทาวเวอร์ด้วยนะแต่ไม่แน่ใจว่าเห็นมั้ยเพราะไม่ได้หันไปมอง55 มัวแต่ตื่นเต้นวิวตึก

สถานีรถไฟไดบะ (Daiba Station 台場駅)

ออกจากรถมาก็เจอลมปะทะ หนาวมาก55 สถานีนี้จะมี Aqua City Odaiba ให้หลบหนาวและหาอะไรกิน55 เราเดินผ่านสกายวอล์คข้ามถนนก็จะเจอเจ้า “ซากุระ” ที่บานเป็นสีชมพูเรียงรายอยู่ริมถนน

เดินมาจะเจอความ New York City 55 มีรูปปั้นเทพีเสรีภาพอยู่เด้อ เขาคือ Odaiba Statue of Liberty Replica (自由の女神像)  ส่วนใครชอบกันดั้มก็ลงสถานีนี้เหมือนกันและเดินไปอีกฝั่งถนนนะจะเจอUnicorn Gundam Statue (実物大ユニコーンガンダム立像)

เราเป็นสายธรรมชาติเลยเดินลงมาดูวิวโตเกียวเบย์กับสะพานสายรุ้ง Rainbow Bridge (レインボーブリッジ) ลมเย็น ๆ กับวิวสวย อากาศดี ๆ มองไปเห็นเจ้าต้นซากุระออกดอกบานสะพรั่งไกล ๆ เสียงนกร้อง ปลาว่ายน้ำ นี่คือเมืองใหญ่ความหนาแน่นติดอันดับโลกแต่ยังมีที่ให้เราได้หายใจ ได้รู้สึกแบบไม่ต้องเร่งรีบ ให้เวลาเดินไปช้า ๆ แบบได้พักผ่อนจริง ๆ

พักจนหายเมื่อยเเล้วเราก็จะเดินไปถ่ายรูปกับเจ้าซากุระหน่อย แล้วค่อยวนกลับมาตรงนี้อีกครั้งเพื่อดูพระอาทิตย์ตกและขึ้นรถไฟไปต่อกัน

เจอมันเผาคุณลุงที่เขียนป้ายไว้เป็นภาษาไทย แหมต้องอุดหนุนซะหน่อยละ จริง ๆ อยากกินมากกว่าเพราะกลิ่นหอมมากกกกก แล้วมันก็อร่อยจริง ๆ ปกติมันอร่อยอยู่แล้วแต่พอมีอากาศหนาว ๆ กับความน่ารักของคุณลุงที่พอรู้ว่าเราเป็นคนไทยเลยทักทายด้วยภาษาไทย55 ยิ่งมีความสุขเข้าไปใหญ่

เราข้ามถนนมาดูเจ้าซากุระกัน มีนักท่องเที่ยวมาบ้างประปราย เด็กญี่ปุ่นเดินเก็บซากุระที่ร่วงตามทางเดิน ดูมีความสุข น้องเหลือไว้ให้เราด้วยดอกนึง55

เส้นทางสายดอกไม้ คือดี ถึงมันไม่ได้มีกลิ่นหอมแต่แบบแค่เดินผ่านก็สบายตา สบายใจละอ่า ชอบจังอารมณ์แบบเดินเล่นทุ่งลาเวนเดอร์มีม้ายูนิคอร์น55 แต่มันให้ความรู้สึกอย่างงั้นจริง ๆ แบบโลกเรามีอะไรเล็ก ๆ ที่สวยงามอยู่รายล้อม ถ้าเราเลือกที่จะมองจะมีความสุขกับสิ่งเล็ก ๆ เหล่านี้ มันก็จะเป็นหนึ่งสิ่งดี ๆ ของวันแบบไม่ต้องยิ่งใหญ่เว่อร์วังให้เราได้บันทึกไว้ในใจ

เดินวนกลับมาเจอเรืออวกาศ55 เสียดายที่เราต้องไปแล้ว เพราะนัดกับคุณน้าชาวญี่ปุ่นเอาไว้ เราจึงเก็บภาพความทรงจำก่อนพระอาทิตย์จะตกดินไว้ แบบที่เห็นแล้วนึกถึงเสียงนกร้อง เสียงสายน้ำ ลมพัดให้วันนั้นได้เป็นอย่างดี เก็บภาพถ่ายและเก็บภาพความรู้สึก ความทรงจำไว้

โตเกียวสกายทรี (Tokyo Skytree 東京スカイツリー)

เรานั่งรถไฟมาลงที่สถานี Tokyo Skytree Station (とうきょうスカイツリー駅) ต้องบอกก่อนว่าอันนี้ไม่ได้อยู่ในแผนเรา คือเดินเล่นหาของกินชิลล์ ๆ ที่ย่านที่พักตรงสถานีรถไฟอูเอโนะ (Ueno Station) แต่หลังจากคุณน้าชาวญี่ปุ่นรู้ว่าเรามาโตเกียว จึงนัดเจอกันที่นี่ ต้องท้าวความว่าเราเจอคุณน้าตอนนั่งรอรถเมล์ไปเที่ยว Putrajaya ที่กัวลาลัมเปอร์ เราประสบชะตากรรมเดียวกันในการรอรถเมล์จนต้องหุ้นกันขึ้นแท็กซี่ไป ทำให้เราได้เที่ยวด้วยกันนิดหน่อยและแลกคอนแทคเอาไว้ ตอนแรกเรานึกว่านัดเจอกันเฉย ๆ เพราะคุณน้าทำงานอยู่แถวนี้พอดี แต่ไม่ใช่แค่นั้น คุณน้าเป็นเจ้าบ้านที่ดีจนเราเกรงใจ คือจะพาเราขึ้นไปดูวิวข้างบนด้วยกัน แม้ว่าเราจะบอกว่าเราจะต้องรีบกลับโฮสเทลก่อนสี่ทุ่มเพราะยังไม่ได้เช็คอิน55 อาจจะขึ้นไปดูวิวแล้วไม่คุ้ม แต่คุณน้าก็บอกว่าไหน ๆ มาแล้วขึ้นไปดูเถอะ55

คุณน้าพามากินราเมงก่อนชมวิว555 คือเป็นอะไรที่รีบเร่งมาก เพราะโตเกียวสกายทรีก็จะปิด เราก็ต้องรีบกลับ55 แต่ก็ได้ลองราเมงใหม่ ๆ อีกแล้ว อย่างที่บอกว่าเราไม่ชอบกินราเมง เพราะเคยลองหลายร้านในบ้านเราแล้วมันไม่อร่อยอ่า ราเมงเดียวที่กินคือราเมงมะเขือเทศตรงแถวสีลมอ่า55 แต่มาโตเกียวคราวนี้ทำให้เราชอบราเมงไปเลย อันนี้เป็นแบบแยกน้ำซุปออกจากเส้น คุณพระ! อร่อยมากฮือออ

คุณน้าพาเราจ้ำ55 ไปขึ้น Skytree และแทบน้ำตาไหลอีกรอบเลี้ยงราเมงแล้วยังเลี้ยงค่าเข้า เกรงใจมาก จนพนักงานญี่ปุ่นที่ขายตั๋วขำแล้วบอกให้เรารับไว้55 ค่าเข้าไม่ใช่ถูก ๆ เลยนะ 2,060 เยนแหนะ แต่วิวก็สวยจริง ๆ (ขออภัยในคุณภาพกล้อง รีบจริง ๆ กด ๆ อย่างเดียวเลย เน้นมองเห็นด้วยตาจริง ๆ 55) คุณน้าก็บรรยายไปว่านั่น Tokyo Tower นะ นั่นคลองนะ ตรงนี้ช่วงเทศกาลจะมีดอกไม้ไฟนะ เหมือนมีไกด์ส่วนตัวฮือออ

มีแบบกระจกมองลงไปด้วย ถ้ามากลางวันคงเสียวมาก

หลังจากเซลฟี่กะคุณน้าเรียบร้อย เราจึงรีบนั่งรถกลับไปโฮสเทล ด้วยความรน55 คุณน้าเห็นเราเด๋อ(จริง ๆ คือเราเป็นแบบนี้จะดูเด๋อ ๆ เวลากดตั๋วรถไฟ55) คุณน้าทนไม่ไหวกลัวเราไม่ถึงโฮสเทล55 เลยนั่งมาส่ง แถมเราเด๋อจริงเพราะทำตั๋วรถไฟร่วงบนรถ ดีที่คุณลุงบนรถเก็บให้

คุณน้าเดินมาส่งเราที่โฮสเทลเพราะคุณน้าบอกว่าดึกแล้วมันอันตราย จริง ๆ ตอนกลางคืนที่นี่ไม่น่ากลัวขนาดนั้นนะ แต่แบบไม่ประมาทดีที่สุด แต่เราก็ยังรู้สึกว่ามันปลอดภัยนะ รึเปล่า55

เราเช็คอินเรียบร้อย ก็ออกไปเซเว่นซะหน่อย ฝนตกซะและ ยืมร่มโฮสเทลไป ทีนี้หน้าเซเว่นจะมีให้วางร่ม เราก็เห็นอันก่อนหน้ามันพัง ๆ เราเลยเอากระดาษผูกทำสัญลักษณ์ไว้ พอเดินออกมานั่นไง สลับร่มเราไปอีกกกก อย่างงี้มันตั้งใจชัด ๆ วิ่งตามก็ไม่เจอ แต่จริงแล้วมันไม่พังขนาดนั้นแค่มันหลุด แต่ก็แอบเซ็งที่มาสลับของเรา555

บรรยากาศยามดึก เงียบเหงากับสายฝนโปรยปราย55

ตื่นเช้ามาเตรียมตัวกลับบ้านแล้ว ฝนตกแรงจนต้องซื้อเสื้อฝน เดินแบบรองเท้าเปียกไปสถานีที่ไกลมาก แล้วงงว่าทำไมไม่ขึ้นใต้ดินไปลงสถานีอูเอโนะ ทั้งๆ ที่สถานีรถไฟใต้ดินอยู่ใกล้โฮสเทลมาก55 นี่คือเบอะเเรกที่เฉลยก่อนขึ้นเครื่องกลับ ความเบอะที่สองคือดงซากุระที่เยอะกว่าอยู่ตรงบริเวณสวน Ueno Onshi Park (上野恩賜公園) คือสวนใกล้ ๆ สถานีรถไฟอูเอโนะนั่นเอง ซึ่งใกล้กับโฮสเทลมาก5555

นั่งรถกลับสนามบินกัน ราคาเท่าเดิมเพิ่มเติมคือกลัวตกเครื่อง เพราะกะเวลาเป๊ะไปหน่อย ใครมาสนามบินนาริตะก็เผื่อเวลากันหน่อยน้า เพราะเจ้าหน้าที่เค้าค่อนข้างละเอียดอาจจะช้าไปบ้าง เราเช็คอินปุ๊ปบอร์ดดิ่งเลย ทั้ง ๆ ที่แอบเผื่อเวลามาช้อปปิ้งนิดหน่อยละนะ55

แต่ทริปนี้ก็เป็นทริปที่เราประทับใจมากทริปนึงเลย เกิดมาเพิ่งเคยเห็นซากุระ ได้กินราเมงที่มันอร่อย ๆ ตอนนี้เราชอบราเมงแล้วแหละ55 ได้เจอเพื่อนร่วมทริปที่เราไม่คิดว่าเราจะได้วนมาเจอกันอีกครั้งและเค้าต้อนรับเราอย่างดีมาก ทำให้เราได้ความทรงจำ ความรู้สึกดี ๆ กลับบ้านมา เพื่อที่ว่าเราจะได้เรียกมันกลับมาตอนที่เราอาจจะไม่แฮปปี้ เช่นตอนนี้ที่สถานการณ์โลก สถานการณ์บ้านเมืองเราตั้งแต่ต้นปีมีแต่อะไรที่ดูน่าหดหู่ใจ เราเลยเลือกดึงความทรงจำดี ๆ ภาพดี ๆ ในอดีตมาบอกตัวเราว่าเรายังมีสิ่งที่สวยงามอยู่นะ

ขอบคุณค่ะ

ข้อมูลในหน้านี้อาจมีข้อมูลในวันที่เผยแพร่ แม้ว่าเราจะพยายามอัปเดตข้อมูลอย่างต่อเนื่อง แต่โปรดทราบว่าข้อมูลบางอย่างอาจไม่ได้รับการอัปเดต
ABOUT ME
Let_me_go_there
Instagram: Let_me_go_there
RELATED POST

ถ้าคุณชอบบทความนี้
กด "ถูกใจ" ด้วย!

กด “ถูกใจ” และรับข้อมูลล่าสุด!