blog ท่องเที่ยวญี่ปุ่น

From Osaka to Fujisan – ปล่อยใจให้ว่าง แล้วฟูจิซังจะเยียวยาเราเอง

011

ผู้ร่วมเดินทาง

| คู่รัก/แฟน |

ค่าใช้จ่ายในการเดินทางต่อหนึ่งคน

| 10000 - 19999thb |

ระยะเวลาการเดินทาง

| 3 วัน |

ยานพาหนะที่ใช้ในการเดินทาง

|

รถไฟ | รถโดยสาร | 

เที่ยวแบบไหน

| ไปด้วยตนเอง |

ชื่อสถานที่หรือภูมิภาคที่ไป

  • โอซาก้า
  • สถานีรถไฟมิชิม่า
  • ภูเขาไฟฟูจิ

แผนที่โน้ตการเดินทางนี้

สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้เราอยากจะมาแชร์ความประทับใจ ในการท่องเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกและได้พบกับภูเขาไฟฟูจิแสนสวยริมทะเลสาบคาวากูจิโกะ โดย timeline ของทริปนี้ของเราจะเป็น โอซาก้า-เกียวโต-โอซาก้า-ฟูจิ-โตเกียว แต่เราจะขอแบ่งเป็น 2 พาร์ท โดยแยกบทความของเม้าท์ฟูจิไว้เดี่ยวๆตามความยูนีคของมัน ส่วนอีกพาร์ทจะขอรวบยอดเล่าถึงเรื่องราวที่ โอซาก้า, เกียวโต และโตเกียว รวมเข้าพร้อมกันทีเดียวเลยค่ะ

จุดเริ่มต้นของทริปนี้เกิดจากความผิดพลาดทางการเงินที่เราตั้งเป้าไว้ว่าจะทำสิ่งๆนึง แต่แผนดันคลาดเคลื่อนจนสุดท้ายเราต้องเทโปรเจ็คต์นั้นไป ทั้งที่ทุ่มเทกับมันเต็มที่มาหลายเดือน... จากความรู้สึกที่น่าจะหยุดแค่เสียดาย แต่อยู่ๆมันก็กลายเป็นความเศร้าเสียใจ ผิดหวัง กดดันหนักมากขึ้นเรื่อยๆจนถึงกับต้องระเบิดร้องไห้ ทันใดนั้นอยู่ดีๆเสียงในหัวของเราก็พูดขึ้นมาว่า

"ช่างมันเถอะ มันผ่านไปแล้ว ไปเที่ยวภูเขาไฟฟูจิกันดีกว่า!"

คิดจะทำก็ทำเลย เราลางานไว้ล่วงหน้าแม้จะแค่สั้นๆ จากนั้นก็เริ่มศึกษาการเดินทาง จัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินไปจนเรื่องที่พักและค่าใช้จ่ายที่จะต้องใช้ที่ญี่ปุ่น จนในที่สุดวันเดินทางก็มาถึง

ปล. ความที่เรามีแค่กล้อง Nikon มือสมัครเล่น ภาพอาจจะไม่ได้สวยเท่าที่เห็นใน blog อื่นๆ ยังไงก็ขออภัยด้วยนะคะ

ปล2. ทริปนี้เราเดินทาง 2 คน กับแฟนนะคะ

▪️ เอาล่ะ! มาเริ่มเดินทางไปด้วยกันเลยค้าบบบบ >>

▪️ เราเดินทางช่วงต้นเดือนมีนาคม ด้วยสายการบิน Thai Air Asia X จากดอนเมืองไปลงที่สนามบินคันไซ โอซาก้า (KIX)​ ตอนนั้นราคาตั๋วไปกลับ รวมตกประมาณ 7-8,000 บาท/ที่นั่ง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมง หลังจากเครื่องลงจอด ก็เป็นช่วงระทึกขวัญ เมื่อต้องต่อคิวผ่าน ตม..ไปถึงเค้าท์เตอร์เรายื่นพาสปอร์ตให้เจ้าหน้าที่ เค้ามองหน้ายิ้มนิดนึง พลิกพาสปอร์ตไปมา 2-3 ครั้ง แล้วก็สแตมป์ให้ โอเคผ่านเรียบร้อย ?

▪️ จาก ตม. ทีแรกที่วางแพลนกันไว้คือจะไปรถบัส แต่พอดูเวลาแล้ว เอ๊ะ! น่าจะยังทันรถไฟเที่ยวสุดท้ายแบบเหลือๆ ก็เลยเปลี่ยนเส้นทางเป็นนั่งรถไฟไปลงที่สถานีนัมบะแทน ตอนนั้นยังต้องหยอดเงินซื้อตั๋วไปก่อน โดยรถไฟที่เรานั่งจะเป็น Nankai Limited Express แบบที่จอดตามป้าย ใช้เวลาประมาณ 45 นาที

อ้อ เราซื้อซิมอินเตอร์เน็ตสำหรับ 7 วัน จากตู้หยอดเหรียญอัตโนมัติที่สนามบินด้วยค่ะ ราคาจำไม่ได้แล้ว น่าจะราวๆ 7-800 เยน (โดยรวมคือใช้ได้ดีตลอดทริปเลย)​

▪️ ออกจากสถานีแล้วเดินตามทางที่เชื่อมกับรถไฟใต้ดิน ไปโผล่แถว Dotonburi ตามแผนที่ของโรงแรมที่แจ้งไว้... คืนนี้เรานอนที่ Eco Cube เป็นแคปซูลราคาถูก แบบแยกโซนชาย/หญิง ตกราคาคืนละ 300-400 บาท/คน/คืน (เป็นความต้องการของเราเองว่าอยากนอนแคปซูล)​

... ด้านนอกเป็นเหมือนตึกทั่วไป แต่ล๊อบบี้เช็คอินจะอยู่ชั้นล่าง ต้องเดินลงบันไดไป (ตามภาพ) เข้าออกด้วยระบบคีย์การ์ด มีกุญแจล็อกเกอร์ให้คนละตู้ มีไวไฟให้ใช้ฟรี ตรงโถงล็อบบี้มีเก้าอี้และอุปกรณ์ชงกาแฟให้บริการ กระเป๋าเดินทางสามารถเอาขึ้นไปไว้ด้านบนได้หรือจะวางไว้ข้างๆเค้าท์เตอร์เช็คอินก็ได้

... ดอร์มที่นอนจะแยกโซนชาย/หญิง โดยแต่ละชั้นจะมีห้องอาบน้ำ 2 ห้อง มีแชมพูและสบู่เหลวให้ใช้ฟรี ด้านหน้าก่อนเข้าแคปซูลจะมีโซนทำผมแต่งหน้า(มีไดร์เป่าผม, หมวกอาบน้ำ และคอตตอนบัต เตรียมไว้ให้) .. ในดอร์มจะมีแคปซูล 2 ด้านซ้ายขวา ด้านละ 2 ชั้น ภายในแคปซูลจะเป็นที่นอน หมอน ผ้าห่ม มีทีวีจอเล็กๆและอุปกรณ์เครื่องเสียงข้างๆไว้บริการ ซึ่งเราใช้ไม่เป็น 😀

▪️ ช่วงเช้าเราเช็คเอ้าท์ก่อน 10 โมง ตื่นสายนิดหน่อย แฮร่~ หาอะไรกินก๊อกแก๊กจาก Family Mart ฝั่งตรงข้าม จากนั้นก็พากันเดินไปซื้อบัตร Kansai Thru Pass ที่ตึก Nankai ใจกลางนัมบะ... โดยเราขอฝากกระเป๋าไว้ที่ Eco Cube ก่อน เพราะคงทุลักทุเลไม่น้อยถ้าจะลากไปด้วย และตอนนั้นโรงแรมที่เราจองไว้อีกที่ก็ยังไม่ถึงเวลาเช็คอิน ซึ่งเค้าก็โอเคให้เราฝากได้

จากตรงนี้เราจะขอข้ามทริปสั้นๆที่โอซาก้าและเกียวโต ไปพูดถึงการเดินทางไปเม้าท์ฟูจิที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ของทริปนี้เลยแล้วกันค่ะ

**ขออนุญาตแปะรูปทริปสุดจะโบ๊ะบ๊ะที่โอซาก้าและเกียวโตไว้ก่อนนะจ๊ะ 🙂

▪️ และแล้ววันที่รอคอยก็มาถึง ไฮไลท์ของทริปนี้ "ปล่อยใจให้ว่าง แล้วฟูจิซังจะเยียวยาเราเอง" กำลังจะเริ่มขึ้น! เรานั่งรถไฟโดยใช้บัตร Kansei Thru Pass จาก Namba ไปยัง Shin-Osaka  เพื่อต่อ Shinkansen ไปลง Mishima และเพราะเราไม่ได้ซื้อบัตร JR ไว้ เลยต้องซื้อตั๋วแบบเที่ยวเดียว ราคาอยู่ที่ราวๆ 9,000 เยน – จุดนี้เกิดเรื่องตะกุกตะกักเล็กน้อย ตอนที่ซื้อตั๋วชินคันเซน เราจะจ่ายด้วยบัตรเครดิต แต่ทำยังไงก็จ่ายไม่ได้ เช็ควงเงิน-ยังไม่เคยใช้รูดอะไรตลอดเดือน เช็คสภาพบัตร-ไม่ชำรุดเสียหาย เช็คสถานะบัตร-ก็ใช้ได้ทั่วโลก สรุป เจ้าหน้าที่แจ้งว่า น่าจะเป็นเพราะบัตรเราเป็นแบบโค้ง เลยใช้กับเครื่องรูดของเค้าไม่ได้ สุดท้ายก็เลยต้องควักเงินสดจ่ายไป เง้อออ~

▪️ ทุกท่านคะ และนี่คือครั้งแรกของดิฉันที่ได้นั่งรถไฟความเร็วสูงเลยคร่าา **ขอถ่ายคลิปตอนที่น้องเค้าวิ่งเข้ามาที่สถานีหน่อย

https://www.instagram.com/p/B9Gr8mGHM57/?utm_source=ig_web_copy_link

▪️ วิวข้างทางเป็นชนบทของญี่ปุ่น นึกถึงโดราเอม่อนก็เลยใส่ ost ของโดราเอม่อนในคลิปซะเลย

https://www.instagram.com/p/B9Gsy6vHQeA/?utm_source=ig_web_copy_link

▪️ ถึงมิชิม่าแล้วครับผม จากนี้เราต้องนั่งรถบัสต่อไปยังสถานีรถบัส Kawakuchiko ราคาตั๋วรถอยู่ที่ 2,300 เยน... ระหว่างทางเราจะผ่าน ฟูจิคิว สวนสนุกอันลือลั่น และวิวธรรมชาติจาก 2 ข้างทาง เต็มไปด้วยแมกไม้ใบหญ้าที่ยังมีหิมะเกาะอยู่ประปราย ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงก็ไปถึงสถานี จากนั้นก็นั่งรอรถโรงแรมมารับ จริงๆจากตรงนั้นจะนั่งรถโดยสาร(หน้าตาคล้ายๆ 2 แถว)ไปเลยก็ได้ แต่พอดีแจ้งทางโรงแรมไว้แล้วว่าให้เค้ามารับ ก็เลยต้องรอกันแถวๆนั้นก่อน

รูปสถานีรถบัส Kawakuchiko ถ่ายโดยคุณ Sergio Quatraro

▪️ ในที่สุดรถก็มารับและพาเราไปยังโรงแรมที่ชื่อว่า Mizno Hotel เป็นโรงแรมขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนลาดไหล่เขา โดยห้องพักทุกห้องมีระเบียงที่หันประจันหน้ากับเจ้าน้องฟูจิซังโดยตรง มีเพียงถนนและทะเลสาบคาวากูจิโกะผู้เวิ้งว้างเท่านั้นที่คั่นกลางระหว่างเรา ราคาห้องพักอยู่ที่คืนละ 3,300-3,500 บาท/คืน (เราได้ราคาโปรโมชั่นจากอโกด้าพอดี)

(โรงแรม Mizno Hotel สุดอบอุ่น ที่เราพักตลอด 2 คืน ที่เม้าท์ฟูจิ)

▪️ หลังจากเช็คอินเสร็จ เราก็ขนสัมภาระต่างๆและลากตัวเองขึ้นไปที่ห้องพักก่อนจะเปิดม่านเดินออกไปที่ระเบียงและได้พบว่า เจ้าน้องฟูจิซังที่ขึ้นชื่อนักหนาเรื่องความขี้อายจนใครๆต่างพูดกันว่า ‘ต้องวัดดวงหน่อยนะ ถึงจะได้เจอแบบไม่โดนเมฆบัง’ ... วันนี้น้องไม่อายแล้วจ้าาา น้องโดดเด่นอยู่ตรงหน้าแบบเปลือยๆเพรียวๆ ... ดิฉันนั้นอยากจะกรีดร้องด้วยความปลาบปลื้มอย่างไม่คิดไม่ฝัน "พ่อจ๋า หนูทำได้"

ก่อนเข้านอนคืนนั้น เราแวะแช่ออนเซ็นซึ่งอยู่ในเซอร์วิสของโรงแรมด้วย จากนั้นก็แอบลงมาดื่มด่ำบรรยากาศข้างล่างกลางดึกคนเดียว (คุณผู้ชายเค้าแช่น้ำร้อนทีหลังเราจนตอนนี้ยังไม่ยอมขึ้น ตัวจะเปื่อยแล้วค่ะ) ด้วยอากาศหนาวและไฟประดับระยิบระยับไปทั่วล็อบบี้และด้านหน้าอาคาร นี่มันค่ำคืนคริสต์มาสแสนโรแมนติกแบบในหนังชัดๆ (รูปตอนกลางคืนอยู่ใน card ที่เสียค่ะ ฮืออ)

**และนี่คือรูปจากห้องพักในช่วงบ่ายและช่วงเย็นก่อนอาทิตย์จะลับขอบฟ้า;

(รูปนี้แต่งสีและใส่ฟิลเตอร์ให้ดูวินเทจหน่อยค่ะ)

(แอบแปะรูปตัวเองตอนใส่ยูกาตะที่โรงแรมเตรียมไว้ให้นิดนึง อิอิ)

▪️ เช้าวันต่อมา เราแพลนกันว่าจะนั่งรถ 2 แถว ไปเที่ยวให้ครบทะเลสาบทั้ง 5 และจุดชมวิวตามที่ได้เห็นมาในรีวิวมากมาย แต่ปรากฎว่า แค่ป้ายแรกก็หลงแล้วค่ะ 55555 ก็คือ เราลงรถที่ป้ายหอศิลป์ Kawakuchiko เป็นอาคารทรงโมเดิร์น ตั้งอยู่บนพื้นที่โล่ง มีต้นซากุระและสนามหญ้าโดยรอบ (แน่นอนว่ารูปหายอีก เห้อ)

... กะว่าจะเดินชมงานอาร์ทนิดๆหน่อยๆ แล้วนั่งรถไปต่อ ปรากฏว่า รออยู่นานรถก็ไม่ยอมมา เลยไปนั่งกินข้าวที่ร้านอาหารฝั่งตรงข้าม ซึ่งบรรยากาศอบอุ่นแบบโฮมมี่มาก เลยเผลอนั่งนานไปหน่อย ดูนาฬิกาก็เลยบ่ายไปละ เลยออกไปรอรถอีกรอบ และเหมือนเดิมว่าไม่มีรถผ่านมาสักคัน แบบนี้คงไม่ใช่ละ.. เลยตัดสินใจว่าจะลองเดินสำรวจไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก (เพราะวันนั้นทั้งวันไม่มีแดดเลย ชิลได้!)

... เรากลับเข้าไปในบริเวณรอบๆหอศิลป์ และค่อยเดินไปเรื่อยๆจากนั้น ตรงไหนสวยก็แวะถ่ายรูป เดินผ่านต้นไม้ ถนน อุโมงค์ ผ่านทุ่งหญ้า ทะเลสาบ เจอกองหิมะเก่าๆจากวันก่อน เจอศาลเล็กๆก็แวะไหว้ ชิลๆแบบเรื่อยเปื่อยกันสุดๆ แต่เรารู้สึกโอเคมากกว่าที่จะพยายามเร่งตัวเองจนเหนื่อยเพียงเพื่อจะเก็บให้ครบทุกที่ (ทริปที่คันไซคือดูรีบจนงงค่ะ เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังในพาร์ทหน้าว่ารีบอะไรกัน 555)

(เจอน้องคนนี้ด้วย น้องมากับหม่ามี๊)

(ซุป'ตาร์ ย่อมไม่มีปัญหาเรื่องหันหน้าสู้กล้องนะคะ)

(เจอศาลเล็กๆระหว่างทาง แวะสักหน่อยดีกว่า)

(แชะให้พี่หมีสักรูปเนาะ)

(คนที่ขับเรือลำนั้น เค้าจะเหงามั้ยนะ?)

(กว่าจะเดินมาถึงละแวกใกล้ๆโรงแรม ก็เริ่มค่ำแล้ว)

(ร้านขายของที่ระลึกอะไรสักอย่าง แต่คนไม่พลุกพล่านเท่าไหร่)

... สำหรับเราแล้ว ช่วงเวลาที่ Kawakuchiko และ Fujisan คือช่วงสั้นๆที่เราได้ปล่อยใจให้ว่างอย่างเต็มที่ หลังจากที่เหนื่อยหนักติดต่อกันมาหลายเดือนจนแทบจิตตก การได้มาผ่อนคลายแบบเงียบๆในที่ที่บรรยากาศสงบสุดๆ แถมได้เจอเจ้าน้องฟูจิเต็มๆตาตั้งแต่นาทีแรก มันเยียวยาจิตใจเราได้มากกว่าที่จินตนาการไว้ซะอีกค่ะ

▪️ และแล้วก็ถึงวันจากลา ... เช้าวันต่อมาเราเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมช่วงก่อนเที่ยง โดยรถโรงแรมขับมาส่งที่สถานีรถบัส Kawakuchiko เช่นเดิม จากนั้นเราซื้อตั๋วรถบัสไปโตเกียว แล้วก็ไปหาของกินระหว่างรอ จนกระทั่งรถบัสมาถึงและพร้อมออก จึงได้เวลาที่เรา 2 คนจะต้องโบกมือลาเม้าท์ฟูจิ ภูเขาไฟใหญ่บึ้มแต่เต็มไปด้วยเอเนอร์จี้น้องน้อยที่แสนจะน่ารักของเรา ... wave goodbye แล้วเจอกันใหม่นะ Kawakuchiko

▪️ สรุป การเดินทางสู่เม้าท์ฟูจิและใช้เวลาที่นั่น 3 วัน 2 คืน เป็นหนึ่งในทริปที่เราประทับใจมากที่สุดจนถึงทุกวันนี้ เพราะมันทั้งเยียวยาและเติมพลังชีวิตให้กับเราได้จริงๆ **อ้อ ลืมบอกอีกนิดนึง ตอนที่รอรถบัสที่ท่ารถ เราสั่งแกงกะหรี่เนื้อม้ามาลองทานดูและส่วนตัวคิดว่า เอ่อออ คงไม่กล้าสั่งอีก... ไม่ใช่ไม่อร่อยนะ แต่เราก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน**

▪️ บทส่งท้าย จบไปแล้วกับฟูจิซังในพาร์ทนี้ พาร์ทต่อไปจะเป็นความวุ่นวายโบ๊ะบ๊ะของโอซาก้า, เกียวโต และโตเกียว นะคะ แล้วเจอกันค้าบบบ

สถานที่ชมวิวภูเขาไฟฟูจิระยะไกล-1c09c6e2
สถานที่ชมวิวภูเขาไฟฟูจิระยะไกลเพราะเป็นหัวข้อที่พูดถึงจุดชมวิวจากระยะไกล ดังนั้นจงอย่าได้แปลกใจ หา...
fuji
เมืองไหนเห็นฟูจิได้บ้าง ?เมื่อเข้าถึงกลางเดือนพฤศจิกายนซึ่งเป็นเดือนที่ภูเขาไฟฟูจิจะเริ่มมีหิ...
0AF879D7-27A1-4C00-A8A7-4590561B100F-60be38c2
พิกัดบ่อน้ำพุร้อนพร้อมวิวฟูจิซังแบบฟินๆภูเขาไฟฟูจิ ซึ่งเป็นยอดเขาที่มีชื่อเสียง เป็นสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ...
ข้อมูลในหน้านี้อาจมีข้อมูลในวันที่เผยแพร่ แม้ว่าเราจะพยายามอัปเดตข้อมูลอย่างต่อเนื่อง แต่โปรดทราบว่าข้อมูลบางอย่างอาจไม่ได้รับการอัปเดต
RELATED POST

ถ้าคุณชอบบทความนี้
กด "ถูกใจ" ด้วย!

กด “ถูกใจ” และรับข้อมูลล่าสุด!