ความพึงพอใจในการเดินทาง
สวัสดีเพื่อนๆ ทุกคนครับ ฐากลับมาแล้ว วันนี้จะกลับมาเล่าประสบการณ์การไปเที่ยวคิวชู ตอนที่ 3 กันครับ
วันที่ 4 Kumamoto Castle ,Amakusa-shi,Shimabara Nagasaki , Nagasaki viewpoint
วันที่ 5 Nagasaki City , Meganebashi Brigde, China town , Nagasaki port , Huis ten Bosch
ตาราง 2 วันนี้ใส่ค่อนข้างแน่นครับ เพราะมีเวลาเที่ยวน้อยแต่อยากไปหลายที่ให้คุ้มค่าตั๋ว 55555
ที่ต่อไปที่เราไปคือ Kumamoto Castle ครับ
ปราสาทคุมาโมโตะ หนึ่งในสามของปราสาทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นก่อตั้งขึ้นโดยคาโตะ คิโยมาสะในปีค.ศ.1601 และใช้เวลาในการก่อสร้างเจ็ดปี ปราสาทแห่งนี้ ซึ่งรู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า “กินนันโจ” (ปราสาทกิงโกะ) เป็นปราสาทที่มีขนาดใหญ่โตและสวยงาม กินพื้นที่ทั้งหมดราว 980,000 ตารางเมตร ประกอบด้วยหอคอย 3 จุด ป้อมปืน 49 ป้อม ปราการ 18 จุด และประตูปราสาท 29 จุด มีโครงสร้างของปราสาทเป็นเอกลักษณ์เนื่องจากมีกำแพงหินอิชิกาคิและลักษณะภูมิประเทศตามธรรมชาติที่ทำให้ตัวปราสาทมีรูปทรงโค้งเว้าสวยงาม คัตสึ ไคชูเคยกล่าวไว้ว่า “ไม่มีปราสาทแห่งใดเหมือนกับปราสาทแห่งนี้” โดยอ้างอิงถึงขนาดและความสูงที่ใหญ่โตมโหฬารของปราสาทแห่งนี้
ช่วงที่เราไปเที่ยวนั้น เมืองคุมาโมโตะเพิ่งผ่านแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ทำให้บางส่วนของตัวปราสาทนั้นเสียหายรุนแรงดังที่เห็นในภาพด้านล่างครับ ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนของการบูณะให้กลับมาสวยงามดังเดิมครับ
ตัวปราสาทสวยงามมากครับ เสียดายไม่ได้มีโอกาสเข้าไปด้านใน จะสังเกตเห็นบริเวณหลังคาได้รับความเสียหายหนักมาก
ซากุระน้อยๆ ที่ให้เราได้ยลโฉมครับ ไว้จะกลับมาเที่ยวอีกตอน Full Bloom นะ
กำแพงที่พังถล่มลงมาหลังจากแผ่นดินไหว
บริเวณรอบๆตัวปราสาทครับ กว้างและสวยงามมาก
หลังจากที่เราเที่ยวชมปราสาทกันแล้ว เราได้เดินทางไปชายทะเลของเมืองอมากุสะ เพื่อไปชมโลมาในทะเลกันครับ อ่านในเว็บแล้วเค้าบอกว่า โลมาไม่ได้มีมาทุกวันครับ แล้วแต่ช่วงและสภาพอากาศ กล่าวคือถ้าโชคดีก็จะเจอ ถ้าโชคไม่ดีก็จะไม่เจอครับ เราก็ค่อยข้างลุ้นว่าจะโชคร้ายแบบที่ต้นซากุระยักษ์และ Aso มั้ย 555
เราขับรถมาถึงชายทะเลเมืองอมากุสะ และเดินทางไปซื้อตั๋วเรือ และได้ถามพนักงานขาย ได้ความว่าเมื่อวานออกเรือ เจอโลมาแค่ 3 ตัวเท่านั้น เรานี่ใจแป้วเลย อดอีกแล้วแน่ๆ 55555
เรือแล่นออกมาจากฝั่งได้ 5 นาที ก็ได้เจอโลมาตัวแรกครับ ตื่นเต้นสุดๆ
ลมแรงมากครับ อากาศหนาวมาก
พอห่างจากฝั่งมาอีก ก็เริ่มเจอโลมาเพิ่มมากขึ้น
ว่ายตามเรือนักท่องเท่ียวด้วยครับ
มากันเป็นกลุ่มเลย เยอะมากครับ คุ้มค่ามากๆรอบนี้ น้ำตาจะไหล อยากให้ทุกคนลองมาสัมผัสประสบการณ์ท่องเที่ยวที่นี่ครับ คุ้มค่ามาก
หลังจากที่เราได้เจอโลมากันแล้ว เราก็ได้เดินทางไปยังเมือง Shimabara เมืองที่มีปลาคราฟอยู่ในท่อระบายนำ้กันครับ เรามาลองนึกกันดูว่าถ้าที่เมืองไทยทำแบบนี้ได้บ้าง มันจะสวยงามขนาดไหนครับ
มืองชิมาบาระ (Shimabara) ตั้งอยู่ในจังหวัดนางาซากิ (Nagasaki) เป็นเมืองท่องเที่ยวที่ยังคงมีกลิ่นอายของเมืองในสมัยโบราณอยู่ นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยแหล่งน้ำใต้ดิน (spring water) ใสสะอาด จนได้ชื่อว่าเป็น “เมืองแห่งน้ำ (City of water)” สำหรับการเดินทางไปชิมาบาระ (Shimabara) สามารถขึ้นรถไฟจากฟุคุโอกะ (Fukuoka) ซึ่งเป็นประตูสู่คิวชู (Kyushu) ไปประมาณ 3 ชั่วโมง หรือขึ้นรถไฟจากนางาซากิ (Nagasaki) ไปประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง และเนื่องจากสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในเมืองนี้จะอยู่ในบริเวณใกล้ๆ กันหมด จึงสามารถเที่ยวได้ทั่วภายในวันเดียว
ปลาในท่อระบายน้ำ ตัวใหญ่มาก
บริเวณนี้มีร้านขายของจำหน่ายอาหารปลาด้วยนะครับ เอาอาหารมาให้น้องๆได้ครับ
คฤหาสน์ริมน้ำชิมาบาระ (Shimabara Mizuyashiki) เป็นคฤหาสน์สร้างด้วยไม้หลังนี้สร้างขึ้นเมื่อกว่า 145 ปีก่อน ภายในสวนมีสระน้ำซึ่งเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติใต้ดิน ซึ่งเต็มไปด้วยปลาคาร์พหลากสีสันว่ายเวียนอยู่ ตัวใหญ่มาก และมีเยอะมากด้วยครับ สวยงามจริงๆ
จากนั้นเราเดินทางไปยังปราสาทชิมาบาระซึ่งอยู่ไม่ไกลครับ
หมู่บ้านระแวกนี้มีความสงบ และยังมีกลิ่นไอของบ้านสมัยเก่าอยู่ครับ นักท่องเที่ยวยังไม่ค่อยได้มาเที่ยวแถวนี้ครับ จึงไม่ต้องไปแย่งถ่ายรูปกับใครเลย สบายมาก
ปราสาทชิมาบาระ เป็นปราสาทที่ถูกสร้างขึ้นประมาณช่วงต้นของยุคเอโดะ(Edo) เนื่องจากตัวปราสาทที่มีสีขาวและยังมีขนาดที่ใหญ่โตมากที่สุดแล้วของบริเวณแถบนี้นั้นเอง ซึ่งปราสาทแห่งนี้ก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่สำคัญในญี่ปุ่นที่ก็ไม่รอดพ้นการถูกทำลายในช่วงสงครามเช่นเดียวกันกับที่อื่นๆ โดยได้ถูกทำลายลงในยุคเมจิ(Meiji) และการบูรณะขึ้นมาใหม่อีกครั้งในช่วงประมาณปี ค.ศ. 1964 การสร้างขึ้นมาใหม่นั้นจะเน้นการใช้วัสดุที่แตกต่างจากเดิมอย่างการใช้คอนกรีตแทนที่หิน
เราไม่ได้ขึ้นไปที่ตัวปราสาทเพราะเรามาเย็น จึงปิดแล้วครับ จึงได้แต่เดินเล่นรอบๆ ตัวปราสาทครับ
รอบๆปราสาทมีต้นซากุระขึ้นเรียงราย เป็นภาพที่สวยงามมากครับ
ช่วงค่ำเราเดินทางไปยังจุดชมวิว Nagasaki Viewpoint ซึ่งถือเป็น 1 ใน 3 จุดชมวิวที่สวยที่สุดในญี่ปุ่นครับ
ภูเขาอินาซะ (Inasayama) ตั้งอยู่ใกล้กับตัวเมืองนางาซากิ การขึ้นไปยอดสูงสุดนี่สามารถทำได้ง่ายๆด้วยกระเช้าไฟฟ้าหรือรถบัส แต่เราขับรถขึ้นไป ทางขึ้นไม่ยากเลยครับ ภูเขาแห่งนี้มีความสูงอยู่ที่ 333 เมตร ซึ่งถือว่าเป็นชมวิวที่สูงสุดของเมือง จึงทำให้เป็นจุดที่สามารถเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองนางาซากิได้ดีงามที่สุดแล้ว ซึ่งชาวญี่ปุ่นเรียกกันว่า ยาเคอิ (Yakeio) โดยจะมีอีก 2 แห่งนั่นคือ ภูเขาฮาโกดาเตะ Hakodate และภูเขาร็อคโกะ Rokko
อากาศข้างบนหนาวและลมแรงมาก ทำให้ภาพออกมาสั่นไหวเล็กน้อยครับ
ฟ้าไม่ค่อยใสเท่าไหร่เลย แต่วิวข้างบนสวยมากครับ
เสาสัญญาณ เปลี่ยนสีได้ด้วยครับ จอดรถข้างล่างแล้วปีนขึ้นมาข้างบนครับ
เช้าวันต่อมา เราได้ไปเที่ยวต่อกันในเมืองนางาซากิครับ เป็นเมืองในฝันอีกที่นึงที่อยากมา นางาซากิ (Nagasaki) เมืองประวัติศาสตร์สำคัญในสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกวางระเบิดปรมาณูที่ทำให้คนเสียชีวิตนับแสนกับเหตุการณ์ครั้งนี้ นางาซากิ เดิมเป็นหมู่บ้านชาวประมงขนาดเล็ก และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์เพียงเล็กน้อย จนกระทั่งได้เริ่มติดต่อกับนักสำรวจชาวโปรตุเกสในปี ค.ศ. 1543 ซึ่งผู้นำของคณะสำรวจแรกนั้น คือ เฟอร์เนา เมนเดส ปินโต ที่เดินทางมาด้วยเรือโดยเทียบท่าใกล้ ๆ กับทาเนงาชิมะ เกาะในหมู่เกาะโอซูมิ
ที่แรกที่เราไปนั้นก็คือ สะพานแว่นตาครับ สะพานมากาเนะบาชิ แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1634 เพื่อที่จะไว้ใช้แม่น้ำนาคาจิมะ(Nakajima)ให้สะดวกมากยิ่งขึ้น แม้ต่อมาได้มีการสร้างสะพานหินเพื่อข้ามแม่น้ำนาคาจิมะเพิ่มขึ้นอีกหลายสะพาน หากสะพานแห่งนี้ก็ยังคงมีความสำคัญลำดับต้นๆจากความงดงามอันเลื่องชื่อจนติด1 ใน 3 สะพานหินที่ได้รับยกย่องว่าสวยที่สุดในญี่ปุ่น สะพานที่คล้ายกันที่ทุกคนไปบ่อยๆ ก็คือ สะพานวงกลมคู่ที่พระราชวังอิมพีเรียลนั่นเองครับ
ต่อไปเราไปเที่ยวกันที่ย่านไชน่าทาวน์ของเมืองนางาซากิครับ เมืองนี้ชาวจีนมาอยู่นานมากแล้วครับ
สวยมากครับบบบบ
รถรางของเมืองนางาซากิครับ รถรางนางาซากิ เป็นของ Nagasaki Electric Tramway มีสายหลักทั้งหมด 5 สายด้วยกัน โดยสถานีส่วนใหญ่ที่จอดจะใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ รถรางนี้เริ่มวิ่งตั้งแต่ 6:00 ถึง 23:00 มีรถทุกๆ 5-8 นาที เดินทางไปเที่ยวสะดวกมากครับ
เราได้เดินทางไปเที่ยวเรื่อยๆ จนถึงท่าเรือของเมืองนางาซากิครับ ที่นี่จะพบเรือสำราญลำใหญ่มากมายครับ ทิวทัศน์บริเวณนี้สวยและลมเย็นมากครับ
ในสวนริมทะเลนั้นเอง มีซากุระบานเต็มพื้นที่ครับ ทริปซากุระคิวชูก็ได้เจอซากุระแล้ว 55
จากนั้นเราก็ได้เดินทางไป เดจิมะ (Dejima) มีลักษณะคล้ายเกาะ มีน้ำล้อมรอบ เดจิมะถูกสร้างขึ้นช่วงประมาณปี ค.ศ. 1636 ซึ่งเดิมทีได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่อาศัยของชาวโปรตุเกตที่เข้ามาทำงานในประเทศญี่ปุ่น ต่อมาเมื่อชาวโปรตุเกตถูกสั่งให้ย้ายออก จึงมีชาวดัชที่เป็นทั้งพ่อค้า และคนงานย้ายเข้ามาอยู่แทน จากการถูกประกาศเป็นเขตอนุรักษ์นี่เองทำให้มีการรักษาความเก่าแก่ของทุกๆสิ่งบนพื้นที่นี้อย่างดีเยี่ยม ทำให้ยังมีอาคารแบบเก่าหลงเหลืออยู่มากมาย ทั้งโกดังเก็บของ บ้านเรือน โรงงานอุตสาหกรรม กำแพง ประตู อีกทั้งยังมีการสร้างและต่อเติมอาคารขึ้นมาเพิ่มเพื่อรักษารูปลักษณ์ของเมืองให้ดูเหมือนเดิมอีกด้วย เค้าว่ากันว่าสร้างขึ้นเพื่อแบ่งแยกชาวต่างชาติ ออกจากคนญี่ปุ่นทั่วไปครับ
เดินเล่นในเมืองนางาซากิจนทั่วแล้ว เราก็ได้ไปกันต่อที่ Huis ten Bosch สถานที่ที่จำลองยุโรปมาไว้ที่นี่ครับ เราได้มีโอกาสเดินเล่นทั้งในช่วงกลางวันและกลางคืน บรรยากาศดีมากเลยครับ
แค่ทางเข้าก็สวยงามแล้วครับ
บรรยากาศตอนที่นั่งเรือล่องไปในคลองรอบๆ Huis ten Bosch ครับ
ขึ้นไปบนหอคอยแล้วมองลงมาด้านล่างก็จะสวยแบบนี้
ตกแต่งด้านในได้สวย น่าเดินมากครับ
ส่วนนี้จะเป็นโซนสยองขวัญครับ ได้มีโอกาสลองเล่นทุกอันแล้ว น่ากลัวมากเลย
ภาพกังหันกับทิวลิปครับ
พอฟ้าเริ่มมืด อากาศก็หนาวมากครับ ที่นี่ตกแต่งไฟได้สวยงามมากทุกจุดเลยครับ น่าถ่ายรูปมาก
ชอบมุมนี้เป็นพิเศษเลยครับ
โดยเมื่อเราได้ทำการจองตั๋วผ่านทางหน้าเว็บไซต์นี้เรียบร้อยแล้วเราจะได้เป็น E-Ticket ที่มีบาร์โค้ค สามารถปริ้นท์และนำไปเข้าได้เลยที่ประตูหมายเลข 3,4 หรือประตู Ocean Gate ครับ สะดวก ง่าย สบาย ประหยัดเงินได้มากเลยครับ
โดยรวมแล้วเป็นอะไรที่สวยงามมากครับ ไม่ต้องพูดอะไรมากให้ภาพมันอธิบายเองครับ 555
ผมขอจบกระทู้นี้เพียงเท่านี้ก่อนครับ แล้วเจอกันตอนต่อไปเร็วๆนี้ครับ ^^