ที่เที่ยวในญี่ปุ่น

ที่เที่ยวสุดเก๋ที่ลึกแต่ไม่ลับในโตเกียว

best kept_Cover_vol1-5d215b56

“โตเกียว” ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมและเทคโนโลยี เมืองที่เต็มไปด้วยความโกลาหลวุ่นวาย เมืองที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาหลายล้านคนต่อปี เมืองที่ผู้คนสามารถเข้าถึงระบบคมนาคมและการสื่อสารได้อย่างสะดวกง่ายดาย แต่ในขณะเดียวกัน เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในหมุดหมายในการเดินทางของใครหลายๆคนอย่างโตเกียว ก็ยังคงมีสถานที่และเรื่องราวที่ลึกแต่อาจไม่ถึงกับลับซ่อนอยู่

หรือหากจะบอกว่า ทุกมุมของเมืองที่พลุกพล่านแห่งนี้อัดแน่นไปด้วยสิ่งที่สามารถทำให้คุณประหลาดใจ ไม่สำคัญว่าคุณเคยมาที่นี่แล้วกี่ครั้ง ครั้งละกี่วัน หรือแม้กระทั่งคุณจะอาศัยอยู่ที่นี่ตลอดชีวิตก็ตาม ณ  มหานครที่ชื่อว่าโตเกียว ยังคงมีสิ่งใหม่ๆ  รอให้คุณค้นพบอยู่เสมอ

ซึ่งบทความนี้จะมาแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักหรืออาจไม่ได้มีชื่อเสียงมากนักในโตเกียว;

ที่เที่ยวสุดเก๋ที่ลึกแต่ไม่ลับในโตเกียว

• วัดโกโทคุจิ (Gotokuji Temple) เป็นวัดที่อาจจะไม่คุ้นหูนักสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่สำหรับชาวญี่ปุ่นก็เป็นที่รู้จักกันดีว่า วัดนี้เป็นที่มาของ Maneki-neko หรือ “ตุ๊กตาแมวกวัก" เครื่องรางที่เชื่อว่าจะกวักเอาโชคลาภและความสำเร็จมาสู่ผู้เป็นเจ้าของที่เรารู้จักกันดี ซึ่งวัดนี้แม้จะไม่เก่าแก่เท่าวัดเซ็นโซจิ แต่ก็มีอายุย้อนไปถึงปี ค.ศ. 1680-81 โดยแนวคิดขององค์โชกุนโทคุกาวะ สึนาโยชิ ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่พระมารดา

ทันทีที่เดินเข้ามาภายในวิหารของวัด คุณจะได้พบกับแมวกวักนับพันที่ทำขึ้นจากวัสดุที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นไม้ หิน โลหะ และกระเบื้องเคลือบ หลากหลายสี แต่สีขาวแบบดั้งเดิมดูจะยังเป็นที่นิยมมากที่สุด ตัววิหารของวัดโกโทคุจิ เป็นเจดีย์ไม้สามชั้น ซึ่งรอดพ้นจากการถูกโจมตีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้อย่างสมบูรณ์

การเดินทางมายังวัดโกโทคุจิที่ง่ายที่สุด คือ นั่งรถไฟสาย Odakyu (ไม่มี JR Pass) มาลงที่สถานี Gotokuji จากนั้นเดินเท้าต่อประมาณ 10 นาที

• นาฬิกายักษ์จิบลี (Giant Ghibli Clock) เป็นงานศิลปะกลางแจ้ง ออกแบบโดยผู้กำกับ มิยาซากิ อายาโอะ ผู้ร่วมก่อตั้งสตูดิโอจิบลี มีชื่อทางการคือ “Nittele Oodokei” เป็นนาฬิกากุ๊กกูทองเหลือขนาดยักษ์ สูง 10 เมตร กว้าง 18 เมตร ซึ่งทุกตารางนิ้วของผลงานชิ้นนี้ คือรายละเอียดอันสลับซับซ้อนที่ผู้ออกแบบพยายามสื่อถึงฉากในภาพยนตร์เรื่อง Howl’s Moving Castle (2004)

ตั้งอยู่หน้าสำนักงานใหญ่ของสถานีโทรทัศน์ Nippon Television การเดินทางที่ง่ายที่สุดคือนั่งรถไฟไปลงที่สถานี Shiodome จากนั้นก็เดินทอดน่องกินลมชมวิวไปตามถนนที่เชื่อมระหว่างชิโอโดเมะและชิมบาชิซึ่งมีนักท่องเที่ยวบางตา ใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที เป็นอันถึงที่หมาย เหมาะสำหรับถ่ายรูปสวยๆ อาร์ทๆ มากเลยทีเดียว

• Mannenyu Onsen โรงอาบน้ำที่ซ่อนตัวอยู่ใจกลางกรุงโตเกียว เป็นออนเซ็นที่อนุญาตให้ผู้มีรอยสักเข้าใช้บริการได้ ภายในมีให้บริการทั้งอ่างแช่ไอน้ำ อ่างแช่ตัวแบบเจ็ทสตรีม สระแช่ตัวทั้งร้อนและเย็น มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสำหรับอาบน้ำและแช่น้ำแบบครบชุด

เดินทางโดยรถไฟไปลงที่สถานี Shin-Okubo จากนั้นใช้เวลาเดินเท้าจากสถานีมายังโรงอาบน้ำไม่เกิน 5 นาที ซึ่งย่าน Shin-Okubo นี้ เป็นที่รู้จักในฐานะ “Korean Town” เป็นแหล่งรวมอาหารเลิศรส บรรยากาศโดยรอบและใกล้เคียงเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ของโลกตะวันออกในยุคเก่า โดยโรงอาบน้ำอาจจะหาไม่ง่ายนักเพราะซ่อนตัวอยู่ในตรอกเล็กๆ บนถนนที่ทอดตัวมาจาก Okubodori และการที่หาไม่ได้ง่ายๆ นับเป็นความลึกลับเล็กๆน้อยๆ ที่สร้างเสน่ห์ให้กับมันได้อย่างดี

• หอสังเกตการณ์คาเร็ตต้าชิโอโดเมะ (Caretta Shiodome Observatory) อาจไม่คุ้นหูนักเพราะโดยปกติแล้ว ถ้าเราอยากจะขึ้นไปชมวิวจากมุมสูงของกรุงโตเกียว แน่นอนว่าโตเกียวสกายทรีและโตเกียวทาวเวอร์ น่าจะเป็นสถานที่แรกๆ ที่ผู้คนนึกถึง แต่จริงๆแล้วโตเกียวยังมีหอสังเกตการณ์ที่เปิดให้บริการฟรีอยู่หลายแห่งรวมถึงที่นี่ด้วย

ตั้งอยู่บนชั้น 46 และ 47 ของอาคาร Caretta Shiodome เป็นจุดชมวิวที่สูงจากพื้นดินประมาณ 200 เมตร ที่ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน แต่ให้ทัศนียภาพอันงดงามและน่าทึ่งของอ่าวโตเกียว รวมไปถึงสะพานสายรุ้ง สะพานสึกิจิ สะพานคาจิโดกิ ซึ่งจะสวยเป็นพิเศษในยามค่ำคืนด้วยแสงระยิบระยับ ให้คุณได้เพลิดเพลินท่ามกลางบรรยากาศสุดแสนโรแมนติก

ตัวอาคารเชื่อมต่อโดยตรงกับรถไฟ JR สถานี Shimbashi นับว่าสะดวกสบายเป็นอย่างยิ่งในการเดินทาง

• โกลเด้นไก (Golden Gai) จะว่าเป็นสถานที่ลับก็ไม่เต็มปาก เพราะโกลเด้นไกเองก็เป็นย่านกินดื่มยามค่ำคืนที่มีชื่อเสียงพอสมควร แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่านักท่องเที่ยวโดยเฉพาะบ้านเราจะพูดถึงกันเท่าไหร่นัก โกลเด้นไกเป็นตรอกเล็กๆ ในมุมมืดแต่เปี่ยมด้วยชีวิตชีวาในย่านชินจูกุที่มีบาร์และร้านอาหารขนาดเล็กแบบบ้านๆ ผสมผสานกับร้านค้อกเทลสุดหรูที่อยู่รวมกันได้อย่างลงตัว เมื่อก้าวเท้าเข้ามาในตรอกนี้ คุณจะได้กับสังคมลับที่แอบซ่อนอยู่ในโตเกียว ที่ล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจนทำให้คุณซึมซับประสบการณ์ท้องถิ่นแบบคนเมืองที่แตกต่างจากที่อื่น แต่ข้อจำกัดคือ บาร์บางแห่งในตรอกนี้ยังคงเปิดให้บริการเฉพาะคนท้องถิ่นเท่านั้น ซึ่งคุณสามารถสังเกตได้จากภาษาที่อยู่ตามป้ายหน้าร้านนั่นเอง

การเดินทางที่ดีที่สุดคือ นั่งรถไฟมาลงที่สถานี Shinjuku จากนั้นเดินเท้าต่อประมาณ 10-15 นาที โดยร้านส่วนใหญ่จะเปิดให้บริการตั้งแต่ 19.00 น. ไปจนถึงเช้า

• ย่านจิมโบโช (Jimbocho Book Town) ย่านที่เหล่าหนอนหนังสือได้ยินชื่อแล้วคงยิ้มกว้างไปตามๆกัน เพราะจิมโบโชเปรียบดังโอเอซิสสำหรับผู้ชื่นชอบงานเขียนและสิ่งพิมพ์ ไม่ว่าจะเป็นวรรณกรรมในยุคต่างๆ ผลงานออกแบบ ผลงานศิลปะ รวมไปถึงหนังสือแฟชั่นที่ชวนหลงใหล ซึ่งหนังสือและผลงานส่วนใหญ่จะเป็นของมือสองที่รอให้เหล่าสาวกมาขุดค้นราวกับเป็นสมบัติทางโบราณคดี ร้านหนังสือชื่อดังในย่านนี้ได้แก่ “โคมิยามะ โตเกียว” ที่เปิดบริการมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1939 จะมีหนังสือเกี่ยวกับศิลปะ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมให้เลือกมากมาย โดยชั้นสองของร้านจะเป็นแกลเลอรี่ที่มีการจัดแสดงงานศิลปะหมุนเวียนอยู่เป็นประจำ

โดยในส่วนของ Book Town จะเริ่มต้นที่สี่แยกถนน Yasukuni-dori และถนน Hakusan-dori นักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางไปสำรวจ สามารถนั่งรถไฟสาย Chao Line และ Sobu Line ไปลงที่สถานี Ochanomizu หรือจะนั่งสาย Mita Line หรือ Shinjuku Line และ Hanzomon Line ไปลงที่สถานี Jimbocho ก็ได้เช่นกัน

ร้านส่วนใหญ่จะเปิดให้บริการตั้งแต่ 10.00-18.00 น. หยุดเสาร์อาทิตย์และวันหยุดราชการ

• Chatei Hatou Kissaten ร้านกาแฟในแบบ Kissaten หรือเรียกสั้นๆว่า “คิสสะ” หมายถึงว่า เป็นร้านกาแฟ stand alone ที่เปิดเองไม่ได้เป็นแฟรนไชส์ มีสูตรการชงที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สามารถมัดอกมัดใจลูกค้าได้ ภายในร้านมักจะตกแต่งแบบลูกผสมระหว่างโรงน้ำชาและร้านกาแฟโบราณให้บรรยากาศแบบเรทโทร โดยในทศวรรษก่อนหน้านั้น ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่นิยมดื่มกาแฟจากร้านเหล่านี้ ก่อนที่แฟรนไชส์เจ้าใหญ่อย่างสตาร์บัคส์และร้านกาแฟแนวคาเฟ่จะได้รับความนิยมมากกว่าอย่างเช่นในปัจจุบัน

ร้าน Chatei Hatou ซ่อนตัวอยู่อย่างแนบเนียนในตึกแถวย่านชุมชนไม่ไกลจากสถานี Shibuya ใช้เวลาเดินเท้าไปบนถนนอันเงียบสงบเพียง 3-5 นาที ถ้าคุณไม่เคยไปร้านนี้มาก่อนอาจจะเดินหลงได้ เพราะด้านหน้าที่เป็นประตูไม้สีดำนั้น มีเพียงอักษรคันจิคู่หนึ่งอยู่เหนือประตูเพื่อบ่งบอกว่าคุณได้มาถึงยังจุดหมายแล้ว ภายในร้านตกแต่งด้วยโทนน้ำตาลเงียบขรึม มีไฟสลัวสาดส่องให้แสงสว่าง บวกกับการเสิร์ฟกาแฟด้วยแก้วเซรามิคสุดเก๋ ทำให้ได้บรรยากาศแบบเรทโทรคลาสสิคขั้นสุด


END

เขียนและเรียบเรียงโดย Pok Safin

ขอบคุณข้อมูล:

https://www.jrailpass.com/blog/gotokuji-temple-tokyo

https://japantravel.navitime.com/en/area/jp/spot/02301-14400825/

https://www.travelawaits.com/2476648/tokyo-best-kept-secrets-for-visitors/

https://theculturetrip.com/asia/japan/articles/tokyos-10-best-kept-secrets/

https://www.timeout.com/tokyo/things-to-do/best-streets-to-explore-in-tokyo

ค้นหา JR Pass ราคาถูกใน Klook

 

ข้อมูลในหน้านี้อาจมีข้อมูลในวันที่เผยแพร่ แม้ว่าเราจะพยายามอัปเดตข้อมูลอย่างต่อเนื่อง แต่โปรดทราบว่าข้อมูลบางอย่างอาจไม่ได้รับการอัปเดต
RELATED POST
s-0000
ที่เที่ยวในญี่ปุ่น

เที่ยวโทจิงิเพียงนั่งรถไฟ 50 นาทีจากโตเกียว เพื่อมาสัมผัส 7 สถานที่ท่องเที่ยวและอาหารที่โด่งดังในฤดูใบไม้ผลิในโทจิงิ

15/04/2020
คำแนะนำสไตล์การท่องเที่ยวญี่ปุ่น 100 แบบ

ถ้าคุณชอบบทความนี้
กด "ถูกใจ" ด้วย!

กด “ถูกใจ” และรับข้อมูลล่าสุด!