ที่เที่ยวในญี่ปุ่น

เที่ยวศาลเจ้าชินโตในญี่ปุ่น…ที่ไหนที่ไม่ควรพลาด!

Shinto Shrine You Shouldnt Miss-3b101b65

 “ศาลเจ้าชินโต” (Shinto Shrines) นั้นเรียกได้ว่าสามารถพบได้โดยทั่วไปตามที่ต่างๆในประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากเป็นศาสนาดั้งเดิมที่ถือกำเนิดในประเทศ ซึ่งศาลเจ้าแต่ละแห่งล้วนมีเสน่ห์และแรงดึงดูดที่ชวนให้คุณแวะเข้าไปเยี่ยมชม และในทันทีที่คุณก้าวเท้าเข้าไปยังศาสนสถานแห่งชินโตเหล่านี้ คุณจะรู้สึกราวกับว่าได้หลุดเข้าไปอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณ ผ่านเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และบรรยากาศความขลังจากพิธีกรรมต่างๆ

ถึงแม้ชินโตจะเป็นศาสนาที่ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่นับถือศรัทธา แต่ต้องยอมรับว่าในยุคที่มีการติดต่อกับต่างประเทศ ศาสนาพุทธได้ถูกนำเข้ามาเผยแผ่และได้รับการยอมรับเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงสิ้นสุดยุคเอโดะ (ค.ศ. 1868) ที่ศาสนาพุทธและชินโตถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกันอย่างมีสาระสำคัญ และศาสนสถานของพุทธอย่าง “วัด” และ “ศาลเจ้า” ของชินโต ก็มีความคล้ายคลึงกันจนแทบแยกไม่ออกหากมองอย่างผิวเผิน แต่ความจริงแล้ว “วัด” และ “ศาลเจ้า” มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน คือ;

“ศาลเจ้า” คือ ศาสนสถานของผู้นับถือศาสนาชินโต มักจะลงท้ายชื่อด้วยคำว่า Jinja (ศาลเจ้าเล็กๆ), Jingu (ศาลเจ้าที่สถิตดวงวิญญาณจักรพรรดิ) และ Taisha (ศาลเจ้าชั้นสูงที่สถิตของทวยเทพตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่น) ฯลฯ โดยจุดเด่นของศาลเจ้าชินโต คือ เสาโทริอิที่ทำจากไม้ขนาดใหญ่ทาสีแดงตั้งเป็นซุ้มประตูหน้าทางเข้า ภายในบริเวณสักการะจะมี “เชือกชิเมะนาวะ” แขวนอยู่เพื่อช่วยป้องกันสิ่งชั่วร้ายไม่ให้เข้ามา (ตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่น)

“วัด” คือ ศาสนสถานของพุทธศาสนิกชน มักจะลงท้ายชื่อด้วยคำว่า Dera หรือ Tera (お寺) เช่น Kiyomizu-dera (วัดน้ำใส) และคำว่า Ji (字) เช่น Senso-ji (วัดเซ็นโซจิ) ฯลฯ โดยจุดเด่นของวัดคือ มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ภายใน มีกระถางสำหรับปักธูปเทียนสักการะ ฯลฯ

ซึ่งในบทความนี้ เราจะมาแนะนำ “ศาลเจ้าของชินโต”  ที่จัดอยู่ในหมวด “ไม่ควรพลาด” เพื่อเป็นไอเดียสำหรับทริปเที่ยวญี่ปุ่นของคุณ ซึ่งอันที่จริงแล้ว หากไม่ได้ไปก็คงไม่ถึงกับผิด แต่ด้วยชื่อเสียงด้านความศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งความงดงามของธรรมชาติที่รายล้อมดินแดนแห่งทวยเทพเหล่านี้ คงจะดีกว่าหากมีโอกาสได้ไปญี่ปุ่นแล้วจะถือโอกาสไปเยือนสักครั้งในชีวิต

เที่ยวศาลเจ้าชินโต...ที่ไหนที่คุณไม่ควรพลาด! (Shinto Shrines You Shouldn't Miss)

1. ศาลเจ้าฟุชิมิ อินาริ (Fushimi Inari Taisha), จังหวัดเกียวโต

เป็นศาลเจ้าที่สำคัญและมีชื่อเสียงมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งในญี่ปุ่น ซึ่งแน่นอนว่าชื่อเสียงได้มาไม่ได้มาเพราะโชคช่วย เพราะภาพของเสาโทริอิสีแดงนับหมื่นต้นที่เรียงรายเหมือนอุโมงค์ทอดยาวไปตามขั้นบันไดและเนินเขาที่ดูสวยงามน่าประทับใจและเป็นภาพที่โด่งดังที่สุดจนกลายเป็นสัญลักษณ์ของทั้งเกียวโตและญี่ปุ่น น่าจะเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีว่า “ศาลเจ้าฟุชิมิ อินาริ” แห่งนี้นั้นคู่ควรกับชื่อเสียงที่ได้มา ว่ากันว่าฟุชิมิอินาริเป็นหนึ่งในศาลเจ้าที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น โดยสันนิษฐานว่าน่าจะสร้างราวๆปี ค.ศ.711 เพื่ออุทิศแด่ “อินาริ” เทพเจ้าแห่งการเพราะปลูกและการค้าที่รุ่งเรือง และแน่นอนว่าเมื่อเป็นที่รู้จักก็ย่อมมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลมาเยี่ยมชมอย่างคับคั่งตลอดปี หากอยากได้รูปถ่ายกับกับอุโมงค์ไม้แดงแบบปราศจากผู้คนก็คงต้องกะจังหวะดีๆหน่อย และพยายามหลีกเลี่ยงการมาเที่ยวในวันหยุดพิเศษต่างๆ

 2. ศาลเจ้าเมจิจิงงู (Meiji Jingu), กรุงโตเกียว

เรียกว่าเป็นศาลเจ้าที่มีชื่อเสียงที่สุดในกรุงโตเกียวเลยก็ว่าได้ ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1920 เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่องค์จักรพรรดิเมจิและจักรพรรดินี โชเก็ง ในฐานะจักรพรรดิพระองค์แรกที่นำพาญี่ปุ่นก้าวสู่โลกยุคใหม่ได้อย่างสง่างาม ศาลเจ้าเมจิจิงงู ตั้งอยู่ใจกลางฮาราจูกุ ซึ่งเป็นย่านธุรกิจและแฟชั่นที่สำคัญของโตเกียว ทำให้สะดวกสบายในการเดินทาง และแม้จะอยู่ใจกลางเมืองหลวง แต่ศาลเจ้าแห่งนี้ยังคงรักษาความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติไว้เป็นอย่างดีกับบรรยากาศอันร่มรื่นจากต้นไม้กว่าแสนต้นที่โอบล้อมอยู่รอบบริเวณ ศาลเจ้าเมจิจิงงู เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวหลายแสนคนต่อปี โดยเฉพาะในฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่ใบแปะก๊วยและใบเมเปิ้ลต่างผลัดกันอวดสีสันเหลืองส้มอร่ามไปทั่ว สร้างบรรยากาศสุดแสนโรแมนติกให้ผู้มาเยือนได้อย่างน่าประทับใจ

3. ศาลเจ้าอิตสึคุชิมะ (Itsukushima Jinja), เกาะมิยาจิมะ จังหวัดฮิโรชิม่า

ศาลเจ้ากลางน้ำที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นศาลเจ้าที่มีทัศนียภาพงดงามที่สุดในญี่ปุ่น อีกทั้งยังได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกอีกด้วย ตั้งอยู่บนเกาะมิยาจิมะห่างจากชายฝั่งทะเลเซโตะในจังหวัดฮิโรชิม่า เชื่อกันว่าสร้างขึ้นในปี ค.ศ.593 เพื่อถวายแด่เทพเจ้าที่ปกป้องคุ้มครองผู้คนจากภัยพิบัติทางทะเลและสงคราม จุดเด่นของศาลเจ้าอิตสึคุชิมะ คือประตูโทริอิสีแดงขนาดใหญ่และตัวศาลเจ้าซึ่งตั้งอยู่ในทะเล โดยมีน้ำทะเลเป็นตัวกั้นระหว่างสิ่งปลูกสร้างทั้งสอง แต่ผู้มาเยือนสามารถเดินเข้าไปชมใกล้ๆได้ในช่วงที่น้ำลด

4. ศาลเจ้าโทโชกุ (Tosho-gu Shrine), จังหวัดโทชิกิ

ตั้งอยู่ในเมืองนิกโก้ สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1617 เพื่ออุทิศแด่ โชกุนโทกุงาวะ อิเอยาซุ ซามูไรผู้เลื่องชื่อและโชกุนคนแรกของตระกูลโทกุงาวะ โดยเป็นทั้งที่ตั้งรูปเคารพและป้ายวิญญาณของอิเอยาซุ ได้รับขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก เช่นเดียวกับวัดและศาลเจ้าอีกหลายแห่งในญี่ปุ่น ศาลเจ้าโทโชกุ นับเป็นจุดท่องเที่ยวไฮไลท์ของผู้ที่มาเยือนนิกโก้และจังหวัดโทชิกิเลยก็ว่าได้ จุดเด่นของที่นี่คือเจดีย์ศาลเจ้าห้าชั้นสูงใหญ่อลังการและมีสีสันสวยงามสะดุดตา และภาพแกะแบบดั้งเดิมรูปลิงสามตัวที่เป็นต้นกำเนิดของหลักคำสอน “ไม่ฟัง ไม่พูด ไม่ดูสิ่งไม่ดี”

5. ศาลเจ้าบนเขายูโดโนะ (Yudono-San), จังหวัดยามางาตะ

ภูเขายูโดโนะ เป็นหนึ่งใน “สามขุนเขาแห่งเดวะ” (Dewa Sanzan) ประกอบด้วย ภูเขาฮารุโกะ ภูเขากัสซัง และภูเขายูโดโนะ อันเป็นตัวแทนของไตรลักษณ์ คือ การเกิด การตาย และ การเกิดใหม่ ตามลำดับ และศาลเจ้าบนเขายูโดโนะแห่งนี้ก็ถือได้ว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงซึ่งมีความลึกลับอย่างมาก ว่ากันว่าทั้งศักดิ์สิทธิ์และลึกลับในระดับที่ไม่มีใครพูดหรือได้ยินในสิ่งที่เกิดขึ้นภายในศาลเจ้า แต่ถึงแม้จะเป็นสถานที่เต็มไปด้วยความลึกลับ แต่สามารถเดินทางเข้าถึงได้ง่ายเนื่องจากตั้งอยู่ในหุบเขาด้านล่างที่ติดกับทางด่วน และตัวศาลเจ้าอยู่ห่างจากที่จอดรถเพียง 200 เมตร อย่างไรก็ตาม หากต้องการความท้าทาย คุณสามารถใช้วิธีการเดินทางแบบดั้งเดิมโดยเดินเท้าลงเขาผ่านเส้นทางเดินป่าอันสูงชันจากยอดเขากัสซัง ถือว่าเป็นศาสนสถานสำหรับนักแสวงบุญที่ต้องการเดินทางเพื่อค้นหาแสงสว่างแห่งการเกิดใหม่

6. ศาลเจ้าบนภูเขากัสซัง (Gas-san), จังหวัดยามางาตะ

อีกหนึ่งใน “สามขุนเขาแห่งเดวะ” ร่วมกับ ภูเขาฮารุโกะ และ ภูเขายูโดโนะ ซึ่งภูเขากัสซังเป็นภูเขาที่สูงที่สุดจากทั้งสามและเป็นตัวแทนของ “ความตาย” ตามไตรลักษณ์แห่งความเชื่อของชูเก็นโด (Shugendo) มีศาลเจ้าตั้งอยู่บนยอดเขา 1,984 เมตร จากระดับน้ำทะเล เป็นที่ประดิษฐานของเทพสึกิโยมิโนะมิโคโตะ เทพแห่งดวงจันทร์และชีวิตหลังความตาย การเดินทางไปยังศาลเจ้าค่อนข้างยากลำบากเพราะในระยะ 5 กิโลเมตรสุดท้ายก่อนถึงยอดเขาต้องเดินทางด้วยเท้าเท่านั้น ภูเขากัสซังจะปิดทำการเกือบตลอดทั้งปีเนื่องจากเมื่อมีหิมะหรือพายุฝนจะทำให้การเดินทางมีความเสี่ยงอย่างมาก และจะเปิดรับนักท่องเที่ยวเฉพาะในฤดูร้อนเท่านั้น นักเดินทางที่ต้องการไปแสวงบุญที่ภูเขากัสซังจึงควรเตรียมตัวและศึกษษรายละเอียดต่างๆให้พร้อมที่สุดก่อนเดินทาง

7. ศาลเจ้าอิเสะ (Ise Grand Shrine), จังหวัดมิเอะ

“ศาลเจ้าอิเสะจิงงู” (Ise Jingu) คือศาลเจ้าที่เชื่อกันว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุดและมีตำนานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเหนือทุกศาลเจ้าในศาสนาชินโต โดยเฉพาะ “ศาลเจ้าส่วนใน” (Inner Shrine) หนึ่งในสองของศาลเจ้าหลักภายในอิเสะจิงงู กำเนิดมาจากการบูชาเทพอามาเทราสึโอมิคามิ องค์สุริยเทพ ซึ่งถือเป็นเทพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศาสนาชินโตและมีความเชื่อมโยงกับตำนานการกำเนิดญี่ปุ่น ตามตำนานกล่าวกันว่า มีกระจกศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นหนึ่งในสามสมบัติอันศักดิ์สิทธิ์ของญี่ปุ่น ได้ถูกเก็บไว้ในศาลเจ้าส่วนในและจำกัดมิให้สาธารณชนเข้าชม ด้วยความศักดิ์สิทธิ์อันเลื่องลือ ทำให้มีชาวญี่ปุ่นจำนวนมากหลั่งไหลมาสวดมนต์ขอพรที่อิเสะจิงงู นักแสวงบุญส่วนใหญ่มีความเชื่อว่าจะต้องได้จาริกไปยังศาลเจ้าแห่งนี้ให้ได้สักครั้งในชีวิตเพื่อค้นพบแสงแห่งศรัทธา ดังนั้นในช่วงปีใหม่จึงเป็นช่วงเวลาที่มีผู้คนแออัดยัดเยียดที่สุดเพราะเป็นช่วงเวลามงคลที่สุดในการขอพร

8. ศาลเจ้าอิซุโมะ (Izumo Taisha), จังหวัดชิมาเนะ

ตั้งอยู่ในทะเลญี่ปุ่นในเขตเมืองอิซุโมะ จังหวัดชิมาเนะ ห่างจากมัทสึเอะไปทางตะวันตกประมาณหนึ่งชั่วโมงโดยการเดินทางด้วยรถไฟ เป็นหนึ่งในศาลเจ้าที่เก่าแก่และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มากที่สุดในญี่ปุ่น ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าศาลเจ้าอิซุโมะถูกสร้างขึ้นเมื่อใด (สันนิษฐานว่าน่าจะราว ค.ศ.700 ต้นๆ) แต่มักจะได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นหนึ่งในศาลเจ้าที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่นอยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางของ “ประเทศแห่งเทพเจ้า” เป็นศาลเจ้าที่งามสง่าและเชื่อมโยงกับการกำเนิดประเทศญี่ปุ่น นอกจากนั้นยังมีชื่อเสียงเป็นอย่างมากเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องการขอพรให้รักสมหวัง เนื่องจากศาลเจ้าแห่งนี้ได้ถูกอุทิศแด่เทพีแห่งความรัก จุดที่โดดเด่นที่สุดของศาลเจ้าอิซุโมะคือ เชือกฟางชิเมะนาวฟั่นเกลียวขนาดยักษ์น้ำหนัก 4.5 ตัน ที่แขวนไว้กับคานค้ำของศาลาคะกุระเด็น และเชือกเส้นนี้ถูกนับถือให้เป็นมรดกชาติ

9. ศาลเจ้าคุมาโนะ นาชิ (Kumano Nachi Taisha), จังหวัดวากายามะ

ศาลเจ้าคุมาโนะนาชิไทฉะ เป็นศาลเจ้าชินโตที่ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกับวัดเซงันโทจิ ซึ่งเป็นวัดของศาสนาพุทธซึ่งตั้งอยู่ติดกับน้ำตกนาชิที่มีความงดงามราวกับภาพวาด เดิมทีเคยเป็นศาสนสถานที่พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันของสองศาสนาโดยผู้นับถือชินโตดั้งเดิมในญี่ปุ่นจะมาสักการะศาลเจ้าร่วมกับทำบุญในวัดของศาสนาพุทธจนกลายเป็นความสัมพันธ์ที่รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ก่อนจะถูกบังคับให้แยกออกจากกันในยุคของจักรพรรดิเมจิ แต่ถึงอย่างนั้น ในปัจจุบัน ศาลเจ้านาชิและวัดเซงันโทจิ ยังคงมีโครงสร้างทางจิตวิญญาณอันทรงพลังที่เชื่อมโยงกันอย่างกลมกลืนเป็นธรรมชาติ ทำให้ศาลเจ้าแห่งนี้กลายเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางสำคัญของนักแสวงบุญ

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

By PokSafin 

ขอบคุณข้อมูลจาก;

https://www.japan.travel/th/spot/973/

https://www.japan.travel/th/spot/1128/

https://www.gotokyo.org/th/spot/76/index.html

https://www.japan.travel/th/spot/1482/

https://www.meijijingu.or.jp/en/whattosee/sanctuary/

https://www.tohokukanko.jp/en

https://www.isejingu.or.jp/en/

https://www.jrailpass.com/

https://www.kankou-shimane.com/en

https://www.tb-kumano.jp/en/kumano-kodo/world-heritage/kumano-nachi-taisha/

https://en.visitwakayama.jp/

 

ข้อมูลในหน้านี้อาจมีข้อมูลในวันที่เผยแพร่ แม้ว่าเราจะพยายามอัปเดตข้อมูลอย่างต่อเนื่อง แต่โปรดทราบว่าข้อมูลบางอย่างอาจไม่ได้รับการอัปเดต
RELATED POST
お台場
ที่เที่ยวในญี่ปุ่น

เปลี่ยนบรรยากาศจากอาซากุสะ นั่งเรือไปเที่ยวสวนโอไดบะริมหาด เพลินไปกับช้อปปิ้งมอลล์ขนาดใหญ่และร้านอาหารมากมาย

15/04/2020
คำแนะนำสไตล์การท่องเที่ยวญี่ปุ่น 100 แบบ

ถ้าคุณชอบบทความนี้
กด "ถูกใจ" ด้วย!

กด “ถูกใจ” และรับข้อมูลล่าสุด!