วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า...ที่ญี่ปุ่น (Most Famous Forests & Mountains in Japan)

ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาและที่ราบสูงอันเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ทำให้ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีอัตราส่วนของป่าไม้เทียบกับพื้นที่ดินมากที่สุดเป็นอันดับสองของโลกรองจากฟินแลนด์ที่ 67% (ฟินแลนด์ = 74%) ของพื้นที่ทั้งหมด หรือพูดได้ว่า พื้นที่สองในสามของญี่ปุ่นถูกปกคลุมไปด้วยป่า!

และนี่คือ 8 ที่เที่ยวแนวป่าเขาลำเนาไพร ซึ่งเป็นที่นิยมมากที่สุดในญี่ปุ่นแบบไม่เรียงลำดับ โดยอ้างอิงจากจำนวนการค้นหาและรีวิวจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ;

Contents

1. อุทยานแห่งชาติ ฟูจิ-ฮาโกเนะ-อิซุ (Fuji-Hakone-Izu National Park)
2. เทือกเขาชิราคามิ-ซันจิ (Shirakami-Sanchi Mountain Range)
3. อุทยานแห่งชาติชิเรโทโกะ (Shiretoko National Park)
4. อุทยานแห่งชาตินิกโก้ (Nikko National Park)
5. ภูเขาทาคาโอะ (Mt.Takao / Takao-San)
6. เกาะยากุชิมะ (Yalushima Island)
7. ป่าอาโอกิงาฮาระ (Aokigahara Forest)
8. หุบเขาโอวากุดานิ (Owakudani)

1. อุทยานแห่งชาติ ฟูจิ-ฮาโกเนะ-อิซุ (Fuji-Hakone-Izu National Park)

มีอาณาเขตครอบคลุมบริเวณจังหวัดยามานาชิ จังหวัดชิซูโอกะ จังหวัดคานางาวะ และพื้นที่ทางตะวันตกของโตเกียว ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1936 เดิมใช้ชื่อว่าอุทยานแห่งชาติฟูจิฮาโกเนะ ก่อนจะรวมเกาะอิซุเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานในปี ค.ศ. 1950 และเปลี่ยนชื่อเป็น “อุทยานแห่งชาติ ฟูจิ-ฮาโกเนะ-อิซุ” แบบในปัจจุบัน ประกอบด้วยพื้นที่สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติมากมาย เช่น เกาะภูเขาไฟนับพันเกาะ ทะเลสาบ บ่อน้ำพุร้อน น้ำตก รวมไปถึงป่าโบราณที่เติบโตในทุ่งลาวาเก่าที่เกิดจากการปะทุของภูเขาไฟในเขตอุทยาน แต่จุดที่เป็นไฮไลท์อันโดดเด่นของที่นี่คงหนีไม่พ้น ภูเขาไฟฟูจิ นั่นเอง

อุทยานแห่งชาติ ฟูจิ-ฮาโกเนะ-อิซุ ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ พร้อมกับภูเขาไฟฟูจิ ทะเลสาบทั้งห้ารอบฟูจิ และน้ำตกชิราอิโตะ เมื่อปี ค.ศ.2013 ที่ผ่านมาและด้วยระยะทางที่ไม่ไกลจากกรุงโตเกียว ทำให้ที่นี่เป็นอุทยานแห่งชาติที่มีผู้มาเยือนมากที่สุดของญี่ปุ่น

ข้อมูลเพิ่มเติม: https://www.fujihakoneizu.com/

2. เทือกเขาชิราคามิ-ซันจิ (Shirakami-Sanchi Mountain Range)

เป็นเทือกเขาที่อุดมไปด้วยป่าบีขดึกดำบรรพ์ ทอดตัวตามแนวแบ่งเขตของจังหวัดอาคิตะและจังหวัดอาโอโมริ มีพื้นที่ประมาณ 1,300 ตารางกิโลเมตร ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.1993 เหมาะสำหรับการท่องเที่ยวแบบเดินเขาเพราะพื้นที่เต็มไปด้วยหุบเขาที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์ไว้ได้อย่างเต็มที่ มีพืชบางสายพันธุ์ที่แปลกประหลาดชวนให้รู้สึกถึงความลึกลับน่าค้นหา นอกจากนั้นยังมี น้ำตก ทะเลสาบ โดยเฉพาะทะเลสาบจูนิโคะที่งดงามจนเป็นที่เลื่องลือ รวมไปถึงยังเป็นถิ่นที่อยู่ของหมีควายและเหล่าสัตว์ป่าหลากสายพันธุ์ เช่น นกหัวขวานดำ ซึ่งเป็นสัตว์ป่าหายากในป่าบีชและได้รับการยกสถานะให้เป็นอนุสรณ์ทางธรรมชาติ หรือจะเป็น นกอินทรีทอง เลียงผาญี่ปุ่น ฯลฯ

เนื่องจากในปัจจุบันมีป่าบีชไม่กี่แห่งในโลกที่ยังคงมีระบบนิเวศที่สมบูรณ์ ซึ่งชิราคามิ-ซันจิ ก็เป็นหนึ่งในนั้น จึงทำให้มีขบวนการเคลื่อนไหวเพื่ออนุรักษ์ป่าบีชโบราณเพื่อรักษาผืนป่าอันล้ำค่านี้ไว้สำหรับคนรุ่นหลัง ดังนั้น นักท่องเที่ยวจึงต้องปฏิบัติตามกฏกติกามารยาทในการเดินเขาอย่างเคร่งครัดเพื่อหลีกเลี่ยงการรุกล้ำธรรมชาติโดยไม่ตั้งใจ

ข้อมูลเพิ่มเติม: https://www.en-aomori.com/scenery-014.html

http://www.env.go.jp/nature/isan/worldheritage/english/shirakami.html

3. อุทยานแห่งชาติชิเรโทโกะ (Shiretoko National Park)

ตั้งอยู่ปลายสุดทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะฮอกไกโด มีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของคาบสมุทรชิเรโทโกะ ด้วยที่ตั้งของคาบสมุทรที่อยู่ห่างไกลจากตัวเมือง ที่กลายเป็นส่วนสำคัญซึ่งช่วยให้ภูมิทัศน์และระบบนิเวศน์ของที่นี่ยังคงสมบูรณ์งดงามจนแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ ไม่ว่าจะเป็นธารน้ำแข็งที่ลอยมากระแทกกับชายฝั่งทะเล ป่าดงดิบ ลำธาร ทะเลสาบและหนองน้ำ นอกจากนั้นยังพบว่าเป็นแหล่งอาศัยของหมีสีน้ำตาลจำนวนมาก ซึ่งหมีสีน้ำตาลคือจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารและเป็นเหมือนผู้รักษาสมดุลของธรรมชาติในป่าแถบนี้

โดยจุดที่เป็นเสน่ห์ดึงดูดหลักของชิเรโทโกะ คือ ทะเลสาบทั้งห้า ที่มีผืนน้ำส่องประกายระยิบระยับสวยงามรายล้อมด้วยป่าไม้อันเขียวขจี ซึ่งกิจกรรมที่เป็นที่นิยมมากที่สุดสำหรับนักท่องเที่ยว คือ การเดินเตร่ไปรอบๆทะเลสาบอย่างเงียบๆ เพื่อซึมซับบรรยากาศอันเย็นสงบชวนหลงใหล

อุทยานแห่งชาติชิเรโทโกะ ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.2005 โดยองค์การยูเนสโกได้มีการเสนอให้ญี่ปุ่นพัฒนาพื้นที่นี้ร่วมกับเกาะคูริลของรัสเซียเพื่อให้เป็น “อุทยานสันติภาพมรดกโลก”

ข้อมูลเพิ่มเติม: http://th.visit-eastern-hokkaido.jp/things_to_do/4509/

https://www.japan.travel/national-parks/parks/shiretoko/explore/

4. อุทยานแห่งชาตินิกโก้ (Nikko National Park)

อุทยานแห่งชาตินิกโก้ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงโตเกียว ครอบคลุมพื้นที่ของจังหวัดโทชิกิ จังหวัดกุมมะ จังหวัดโทกุชิมะ และจังหวัดนิงาตะ ในอาณาเขตของภูเขาไฟนาสุที่เคยปะทุลาวาในยุคเก่าจนก่อเกิดชีวิตใหม่ทางธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยป่าไม้ใบกว้าง ต้นบีช ต้นเมเปิ้ล และต้นโอ๊ค ซึ่งจะสวยงามเป็นพิเศษในฤดูใบไม้ร่วงซึ่งใบไม้ผลัดใบเปลี่ยนสีไปทั่วบริเวณ ดึงดูดผู้คนจำนวนมากให้มาเพลิดเพลินกับความตระการตาของธรรมชาติ ซึ่งภายในอุทยานยังมีพื้นที่ของน้ำตก โดยเฉพาะน้ำตกเคงอนที่สูงตระหง่านเหนือทะเลสาบชูเซ็นจิ คุณสามารถชื่นชมความงามเหล่านี้ได้ด้วยการปั่นจักรยานหรือเดินเท้าผ่านหุบเขาชิโอบาระ ทักทายเหล่าสัตว์ป่าประจำถิ่นอย่าง ลิงกังญี่ปุ่น กวางญี่ปุ่น ฯลฯ หรือจะขึ้นไปนั่งกระเช้าลอยฟ้าเพื่อชมทัศนียภาพของภูเขาไฟนาสุที่ยังคุกรุ่นอยู่ก็ได้บรรยากาศที่น่าประทับใจเช่นเดียวกัน

ด้วยระยะทางที่ไม่ไกลจากเกมืองหลวงอย่างโตเกียวมากนัก ทำให้อุทยานแห่งชาตินิกโก้เป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติยอดนิยมของผู้คนจำนวนมาก และยังเป็นที่ตั้งของศาลเจ้านิกโก้โทโชกุ ศาลเจ้าชินโตอันศักดิ์สิทธิ์และโด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น

ข้อมูลเพิ่มเติม: https://www.japan.travel/national-parks/parks/nikko/

5. ภูเขาทาคาโอะ (Mt.Takao / Takao-San)

อีกหนึ่งเส้นทางปีนเขายอดนิยมที่ใช้เวลาเดินทางจากโตเกียวด้วยรถไฟเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น! นอกจากการปีนเขาแล้ว ที่นี่ยังมีกิจกรรมอีกมากมายให้นักท่องเที่ยวได้เพลิดเพลิน ไม่ว่าจะเป็นการเดินเท้าสัมผัสธรรมชาติ หรือจะนั่งเคเบิลคาร์ขึ้นไปสัมผัสบรรยากาศบนเขาก็ได้เช่นกัน จากนั้นอาจจะแวะไปชมการแสดงโชว์ผาดโผนของลิงแสม ในสวนลิงซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่ตามธรรมชาติของลิงแสมจำนวนมาก และปิดท้ายด้วยการเข้าไปสักการะขอพรในวัดทาคาโอะซังยะคุโคอิน ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ยอดเขาทาคาโอะ

การมาเยือนภูเขาทาคาโอะในฤดูใบไม้ผลิเพื่อชมดอกซากุระเบ่งบานอย่างงดงาม และฤดูใบไม้ร่วงที่ต้นไม้ใบไม้น้อยใหญ่พากันผลัดใบอวดสีสันแดงส้มเหลืองปกคลุมทั่วทั้งป่าและทางเดิน ก็นับเป็นไอเดียที่บรรเจิดเลยทีเดียว เพราะนอกจากธรรมชาติที่รายล้อม นักท่องเที่ยวยังสามารถชมวิวพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าเหนือภูเขาไฟฟูจิจากที่นี่ได้เช่นเดียวกัน

แต่เนื่องจากภูเขาทาคาโอะ เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามและอยู่ใกล้โตเกียว ทำให้มีผู้มาเยือนเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน โดยเฉพาะในวันหยุดต่างๆ ที่จะแออัดเป็นพิเศษ นักท่องเที่ยวควรวางแผนการเดินทางให้ดี

ข้อมูลเพิ่มเติม: https://www.japan.travel/th/spot/2103/

https://www.gotokyo.org/th/destinations/outlying-area/mt-takao-and-around/index.html

6. เกาะยากุชิมะ (Yalushima Island)

ผู้ปราดเปรื่องเคยกล่าวไว้ว่า “ขณะเดินอยู่ท่ามกลางต้นไม้เหล่านี้ ท่านจะสัมผัสถึงป่า ไม่ใช้ต้นไม้ที่แยกจากกันด้วยรูปทรงเฉพาะตัว แต่เป็นคุณภาพโดยรวมของต้นไม้ทั้งหมด” และที่ป่าที่เกาะยากุชิมะ ก็ให้ประสบการณ์ของต้นไม้ที่ให้รสสัมผัสแบบป่าได้อย่างดีเยี่ยม

“ยากุชิมะ” เกาะรูปทรงกลมตั้งอยู่ในเขตจังหวัดคาโงะชิมะ ห่างจากเกาะคิวชูไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 60 กิโลเมตร ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติเมื่อปี ค.ศ.1993 ประกอบด้วยภูเขาน้อยใหญ่และมีถึงหกลูกที่มีความสูงเกิน 1,800 เมตร โดยจุดสูงสุดของเกาะอยู่ที่ยอดเขามิยาโนอุระดาเกะ ที่สูงถึง 1,936 เมตร มีฉายาว่า “ภูเขาแห่งมหาสมุทร”

การท่องเที่ยวที่เกาะยากุชิมะ สามารถทำได้ทั้งการเดินเที่ยวป่าสนโบราณ ที่จะพาให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสกับโลกของต้นไม้ยุคดึกดำบรรพ์และทักทายกับสัตว์ป่าในพื้นที่ นักเดินทางที่ชื่นชอบในการปีนเขาก็สามารถเพลิดเพลินกับการปีนเขาที่หลากหลายรูปแบบทั่วเกาะ และเนื่องจากเป็นภูเขาบนเกาะ ทำให้ที่นี่มีสภาพอากาศแปรปรวน มีฝนตกสลับกับแดดออกตลอดทั้งวัน แนะนำให้พกร่มหรืออุปกรณ์กันฝนติดตัวไว้เสมอ

ข้อมูลเพิ่มเติม: https://www.japan.travel/th/world-heritage/yakushima-island/

https://www.town.yakushima.kagoshima.jp/en/

7. ป่าอาโอกิงาฮาระ (Aokigahara Forest)

แหล่งท่องเที่ยววัดใจนักเดินทางที่ต้องการสัมผัสความงดงามของผืนป่าแบบชวนขนลุก! อาจไม่ใช่สถานที่ยอดนิยมในการท่องเที่ยวเพื่อปีนเขา เพราะที่ดินที่นี่แข็งจนอุปกรณ์สำหรับปีนเขาทั่วไปอย่างเหล็กแหลมและขวานไม่สามารถเจาะทะลุได้ แต่จากการเป็นสถานที่อื้อฉาวในฐานะ “สถานที่ที่มีคนฆ่าตัวตายมากที่สุดเป็นอันดับสองของโลก รองจากสะพานโกลเด้นเกทที่สหรัฐฯ” ทำให้มียอดผู้ค้นหาเรื่องราวเกี่ยวกับป่าแห่งนี้เป็นจำนวนมากในแต่ละปี จึงทำให้ป่าอาโอกิงาฮาระถูกจัดไว้ในลิสต์นี้ของเราด้วย

ป่าอาโอกิงาฮาระ เป็นป่าบริเวณเชิงภูเขาฟูจิด้านตะวันตกเฉียงเหนือ มีอีกชื่อเรียกคือ นทีแห่งไม้ (Sea of Tress) เป็นป่าทึบที่อุดมสมบูรณ์ พื้นที่ส่วนใหญ่ยังไม่มีมนุษย์ย่างกรายเข้ามา จึงเปิดโอกาสให้สัตว์ป่าหายากหลายสายพันธุ์ยังคงใช้ผืนป่าแห่งนี้เป็นถิ่นที่อยู่ได้จนถึงปัจจุบัน ผืนป่ามีอาณาเขตกว้าง 30 ตารางกิโลเมตร มีชั้นหินลาวาที่ทับถมกันเป็นรูพรุนดูดซับเสียง ทำให้ยิ่งรู้สึกโดดเดี่ยวจากความเงียบชวนหลอนนี้อย่างเต็มที่ขณะเดินสำรวจป่าอันแสนบริสุทธิ์แห่งนี้

นักเดินทางที่ชื่นชอบการดูนกน่าจะถูกใจป่านี้แห่งนี้เป็นพิเศษ เพราะคุณมีโอกาสได้เห็นนกประเภทต่างๆ รวมไปถึงนกสายพันธุ์ที่หายากที่อาจจะปรากฎโฉมให้คุณได้เห็น แต่ต้องระวังสัตว์ป่าดุร้ายที่อาจจะออกมากินใกล้ๆบริเวณนี้ด้วย

ข้อมูลเพิ่มเติม: https://www.japan.travel/th/spot/1335/

8. หุบเขาโอวากุดานิ (Owakudani)

หุบเขาอันเป็นร่องรอยจากการปะทุของปล่องภูเขาไฟคามิยามะซึ่งเกิดขึ้นในช่วงการระเบิดครั้งสุดท้ายของภูเขาไฟฮาโกเนะ เมื่อประมาณ 3,000 ปีที่แล้ว แม้จะไม่มีการปะทุของภูเขาไฟมาเป็นเวลานานนับพันๆปีแล้ว แต่ความร้อนยังคงอยู่และกำมะถันใต้พื้นดินยังมีอยู่เป็นปริมาณมาก ทำให้เกิดแรงดันจนมีควันสีขาวจากไอร้อนพวยพุ่งขึ้นมาบนพื้นดินอยู่ตลอดเวลา ซึ่งไอร้อนและกรดกำมะถันความเข้มข้นสูงเป็นส่วนประกอบสำคัญของน้ำแร่ธรรมชาติอันแสนบริสุทธิ์และมีประโยชน์กับร่างกายมนุษย์เป็นอย่างมาก จึงทำให้มีธุรกิจบ่อน้ำแร่ธรรมชาติเปิดให้บริการหลายต่อหลายแห่งทั่วฮาโกเนะ

ในแง่ของทัศนียภาพ ว่ากันว่าโอวากุดานินั้นงดงามไม่แพ้ที่ไหนโดยเฉพาะเมื่อมองจากหอสูงสังเกตการณ์ ด้วยภาพของภูเขาพื้นผิวกระด้างที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกควันสีขาวฟูฟ่อง สร้างภูมิทัศน์และบรรยากาศที่ชวนหลงใหล ยิ่งเมื่อได้นั่งอยู่บนกระเช้าลอยฟ้าข้ามยอดเขาแล้วมองลงมาด้านล่าง จะเห็นภาพของพื้นดินของหุบเขาที่กระจายออกเป็นชั้นๆลดหลั่นกันไป สร้างความตื่นตาตื่นใจราวกับหลุดเข้าไปในโลกแฟนตาซีเลยก็ว่าได้

และจากจุดเดียวกันนั้น นักท่องเที่ยวยังสามารถดื่มด่ำกับความสวยงามตระการตาของภูเขาไฟฟูจิและทะเลสาบอาชิ หนึ่งในทะเลสาบทั้งห้าอันเลื่องชื่อ

ข้อมูลเพิ่มเติม: https://www.hakoneropeway.co.jp/foreign/en/ohwakudani/