สวัสดีค่ะเรายังคงอยู่กันในทริปหน้าร้อนอีกแล้ว ถถถถถ. ผู้เขียนเองก็ไม่รู้ว่าไปหลงรักทะเลตั้งแต่เมื่อไหร่ทั้งทั้งที่จริงๆเป็นสายภูเขานะคะแต่วันนี้เราก็จะพาไปเที่ยวทะเลกันอีกแล้วค่ะแต่ไม่ใช่แค่ทะเลเพราะเราจะขึ้นเขากันด้วยโอเคตามไปดูกันเลยว่าคราวนี้เราจะพาไปที่ไหนในจิบะกันค่ะ
อ๋อต้องขอบอกก่อนนะคะว่าส่วนใหญ่เราจะเดินทางโดยการเช่ารถขับกันซึ่งมันสบายกว่าและถ้ามากันหลายคนมันคุ้มกว่าที่จะนั่งรถไฟมากๆค่ะ สำหรับคนที่สนใจจะจองรถขับที่ญี่ปุ่นนะคะมีหลายเว็บที่บริการเป็นภาษาอังกฤษและที่สำคัญอย่าลืมทำทะเบียนขับรถสากลกันมานะ( ถ้าจำไม่ผิดคือต้องอยู่ในไทยเกินสองเดือนก่อนค่ะบัตรนั้นถึงจะสามารถใช้ได้ในญี่ปุ่น อันนี้กฎหมายแต่ละประเทศต่างกันออกไปอย่าลืมเช็คนะคะ)
สถานที่เที่ยวแรกที่เราจะพาไปในวันนี้ก็คือ ภูเขาโนโคกิริ ทางตอนใต้ของจังหวัดจิบะ ที่ภูเขาแห่งนี้นอกจากเราจะได้ชื่นชมทะเลชิบะในมุมสูงแล้วเรายังจะบุกไปไหว้นมัสการพระใหญ่ของชิบะกันด้วยค่ะ
ถ้าพูดถึงพระใหญ่ทุกคนอาจจะนึกถึงพระที่จังหวัดนาราหรือที่คามากุระ อาจจะไม่มีคนค่อยรู้จักพระใหญ่แห่งวัดนิฮงไดระกันมากนัก แต่ขอบอกได้เลยว่า WOWมากๆ.
การที่จะไปถึงภูเขาโนโคกิริได้นั้นเราสามารถเดินทางโดยรถยนต์ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงจากโตเกียวหรือถ้าไม่สะดวกขับรถจริงๆก็สามารถไปได้โดยรถไฟกับรถบัส ได้ในเวลาประมาณ 4 ชั่วโมงค่ะ
พอเราขับรถมาถึงที่เชิงเขากันแล้วเราก็จะต้องขึ้นกระเช้าโลบเวย์ ที่มีความยาวโดยประมาณ 680 เมตรขึ้นไปด้านบนของพวกเขากันค่ะโดย กระเช้าแห่งนี้เปิดให้บริการตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น(เวลาอาจจะเปลี่ยนนิดหน่อยตามแต่ฤดูกาลค่ะ). ซึ่งตอนที่เราอยู่บนกระเช้านะคะเราก็จะได้เห็นวิวทั่วเต็มตาในวันฟ้าเปิดถ้าโชคดีเราจะเห็น ภูเขาไฟฟูจิได้เลยนะ!! นอกจากนี้วิวของอ่าวโตเกียวก็สวยงามสุดสุดไปเลยล่ะค่ะ ค่าโดยสารก็อยู่ที่ 500 เยนต่อเที่ยวหรือราคาไปกลับ 930 เยนค่ะ
และเราก็มาถึงด้านบนของพวกเขากันแล้วยะโฮร์!!
วิวสวยมากกก
โดยด้านบนของโนโคกิริ เนี่ยจะมีความสูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 329 เมตรและมีแหล่งท่องเที่ยวมากมายให้เราได้เดินชมกันค่ะ แต่ขอเตือนนิดนึงว่าควรจะมาด้วยรองเท้าผ้าใบนะคะเพราะเส้นทางค่อนข้างสมบุกสมบัน ตอนเราไปลืมคิดถึงจุดนี้เกือบตายเลยค่ะ
เนื่องจากเวลาเรามีจำกัด เราจึงไปที่.ท่องเที่ยวเด่นเด่นของที่นี่จริงๆนั่นก็คือ วัดนิฮงเดระ และ แหลมจิโคคุโนโซกิ สำหรับวัดนิฮงเดระ มีค่าเข้าชม 700 เยน ตรงทางเข้าเค้าก็จะให้แผนที่เรามา เราก็ค่อยค่อยดูแผนที่แล้วก็เดินไปผจญภัยกันค่ะ. แต่กว่าจะถึงก็เล่นเอาหอบเลยระหว่างทาง เราก็ได้หยุดแวะชมวิวที่แหลมจิโคคุโนโซกิ หรือที่แปลว่า
แหลมชะโงกสู่นรก เอาจริงคือมันเสียวมากค่ะสมชื่อเลย
อันนี้คือทางขึ้น คิดสภาพว่าเราต้องปีนเนินนี้ด้วยอีแตะ ?
แชะรูปเป็นที่ระลึก
หลังจากนั้นเราก็เดินทางมุ่งหน้าไปยังพระใหญ่นี่คือรูปสองข้างทางของเราค่ะ
เดินต่อกันไปอีกหน่อย
และแล้วเราก็มาถึงพระใหญ่ไดบุตทสึ แห่งเขาโนโคกิริแล้วววว พระใหญ่ของที่นี่ได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นใหญ่กว่าพระใหญ่นาราและพระใหญ่คามากุระมากๆค่ะ จากประสบการณ์ที่เคยไปมาทั้งสองที่แล้วบอกได้เลยว่าเทียบกันไม่ติดจริงๆ
จุดนี้เป็นจุดขอพรค่ะ บรรดาตุ๊กตาพระขนาดเล็กอันนั้นก็เอาไว้ใช้เวลามาขอพรแล้วก็วางทิ้งเอาไว้
จุดสังเกตที่แปลกอีกอย่างหนึ่งของบรรดาพระพุทธรูปที่อยู่ตามรายทางคือทุกองค์
จะไม่มีเศียรอยู่ อันนี้เราก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกันค่ะ
หลังจากที่เดินเที่ยวชมมาประมาณ 2 ชั่วโมงเราก็กลับลงมาแล้วเดินทางไปกินข้าวกลางวันเพื่อที่จะเดินทางเข้าที่พักและไปชมพระอาทิตย์ตกดินในสถานที่ที่สองที่เราจะพาไปกันค่ะ สำหรับภูเขาโนโคกิริ ถ้าจะเดินให้ทั่วต้องใช้เวลาครึ่งวันถึงจะพอเพราะกว้างมากๆ
อาหารกลางวันของเราเท็นดง !
เมื่อถึงเวลายามเย็นเราก็มาชมวิวทะเลที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นที่ริมทะเลฮาราโอกะ ที่ในวันฟ้าเปิดเราสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิจากจุดนี้ได้และถ้าโชคดียิ่งกว่านั้นเราอาจจะได้ถ่ายรูป Diamond Fuji ด้วยนะคะ ตากล้องสายธรรมชาติไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงน้า ที่นี่นอกจากวิวจะสวยแล้วยังมีครื่นที่เหมาะแก่การเล่นกระดานโต้คลื่นด้วยนะ เอาละไปชมรูปสวยสวยกันเลย
ฟ้ากำลังเริ่มมืดแล้ว
สะพานที่ทอดยาว
แตนแต๊นนน วิวพันล้าน ของฮาราโอกะ สี่นี้คือถ่ายโดยไม่ใช้แอพใดใดทั้งสิ้นนะคะ
ของจริงคือสวยมากๆ นี่นั่งดูรูปก็อยากไปอีกแล้วค่ะ
พอกลับมาที่พักเราก็ย่างบาร์บีคิวและเล่นดอกไม้ไฟกันตามประสาหน้าร้อนญี่ปุ่น 🙂
จบไปแล้วค่ะกับทริปจิบะทริปคราวหน้าเราก็ยังจะแนะนำทะเลกันอยู่ถ้าอยากรู้ว่าจะเป็นทะเลที่ไหนของดินแดนอาทิตย์อุทัยแห่งนี้อย่าลืมติดตามกันนะคะ