ญี่ปุ่นขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีสะพานหลากหลายรูปแบบทั้งในรูปแบบดั้งเดิมและทันสมัย ที่นอกเหนือจากการเป็นส่วนสำหรับเชื่อมเส้นทางแล้ว สะพานหลายต่อหลายแห่งยังถูกพัฒนาให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว ด้วยความสวยงามทางโครงสร้างสถาปัตยกรรมของตัวสะพานเอง รวมไปถึงสภาพแวดล้อมโดยรอบ ไม่ว่าจะเป็นเสน่ห์ของธรรมชาติหรือความงดงามของแสงไฟใจกลางเมือง ก็ล้วนเป็นปัจจัยที่ดึงดูดให้ผู้คนมากมายเดินทางออกสำรวจสะพานต่างๆในญี่ปุ่นเพื่อเก็บภาพประทับใจไว้ในความทรงจำและภาพถ่าย ซึ่งในบทความนี้ จะเป็นการรวบรวมสะพานที่ถูกยกย่องเรื่องความสวยงามและเป็นหมุดหมายสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนญี่ปุ่น
- 1. สะพานสึโนะชิมะ (Tsunoshima Ohashi Bridge), จังหวัดยามากูชิ
- 2. สะพานสายรุ้ง (Rainbow Bridge), กรุงโตเกียว
- 3. สะพานอากาชิไคเกียว (Akashi-Kaikyo Bridge: 明石海峡大橋), จังหวัดเฮียวโงะ
- 4. สะพานโคริ (Kouri Bridge), จังหวัดโอกินาว่า
- 5. สะพานโค้งโจงาคุระ (Jogakura Bridge), จังหวัดอาโอโมริ
- 6. สะพานคินไตเคียว (Kintaikyo Bridge), จังหวัดยามากูชิ
1. สะพานสึโนะชิมะ (Tsunoshima Ohashi Bridge), จังหวัดยามากูชิ
หนึ่งในสะพานที่สวยงามที่สุดและยาวที่สุดในญี่ปุ่น ตั้งอยู่ที่ชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดยามากูชิ เชื่อมตรงสู่เกาะสึโนะชิมะด้วยระยะทาง 1,780 เมตร เปิดให้บริการในปีเฮเซที่ 12 หรือราวๆ ค.ศ. 2000 ด้วยภูมิทัศน์อันสวยงามและภาพของสะพานที่รายล้อมด้วยน้ำทะเลอามากาเสะสีฟ้าครามสุดโรแมนติกอันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้ที่นี่กลายเป็นจุดชมวิวที่มีชื่อเสียงและถูกนำภาพไปใช้ประกอบสื่อประชาสัมพันธ์และโฆษณาต่างๆเป็นจำนวนมาก
เกร็ดน่ารู้:
- ภาพสะพานที่ทอดยาวพาดผ่านน้ำทะเลสีน้ำเงินเข้มที่สวยงามเกินต้านทาน
- เป็นจุดชมวิวชั้นเยี่ยมบริเวณชายฝั่งนากาโตะตอนเหนือ โดยเฉพาะวิวพระอาทิตย์ตกดิน
สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจโดยรอบ:
- ประภาคารสึโนะชิมะ หรือ ประภาคารแห่งความรัก เปี่ยมสเน่ห์ด้วยผนังอาคารสีขาวตัดกับท้องฟ้าสีสวยสด งดงามโรแมนติกและเป็นที่นิยมในหมู่คู่รักจำนวนมาก
- ศาลเจ้าโมโตโนซูมิอินาริ ห่างออกไปทางทิศเหนือประมาณ 40 นาที มีชื่อเสียงจากเสาโทริอิสีแดงกว่า 123 ต้น ริมชายฝั่งที่มีคลื่นซัดกระทบโขดหินพร้อมทิวทัศน์อันโดดเด่นสวยงาม
การเดินทาง:
- รถไฟ JR สายหลัก Sanin ลงสถานี Kottoi จากนั้นต่อรถประจำทางประมาณ 15 นาที
- รถไฟ JR สายหลัก Sanin ลงสถานี Takibe จากนั้นต่อรถประจำทางประมาณ 25 นาที
ข้อมูลเพิ่มเติม: http://www.visit-jy.com/th/spots/11030
2. สะพานสายรุ้ง (Rainbow Bridge), กรุงโตเกียว
สะพานแขวนที่เชื่อมระหว่างใจกลางกรุงโตเกียวกับเกาะโอไดบะ ถูกออกแบบให้เป็นสะพานสองชั้น โดยชั้นบนจะเป็นทางด่วน ส่วนชั้นล่างจะประกอบด้วย ถนนเดินรถทั่วไปและเส้นทางรถไฟสายยูริคาโมเมะ รวมไปถึงทางเดินเท้าที่ขอบสะพานทั้งสองฝั่ง ความยาวสะพานอยู่ที่ 1.7 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินเท้าข้ามประมาณ 30 นาที (ไม่สามารถขี่จักรยานได้ แต่เดินจูงได้) ในตอนกลางคืนจะมีการเปิดไฟประดับทั้งสีแดง สีขาว และสีเขียว ส่วนในเทศกาลพิเศษจะเปลี่ยนเป็นไฟสีรุ้งตระการตายิ่งนัก
เกร็ดน่ารู้:
- เป็นสะพานแขวนสองชั้น โดยชั้นล่างมีทางเดินเท้าขนาบข้างสองฝั่ง เปิดตั้งแต่ 9.00 – 21.00 ในหน้าร้อน และ 10.00-18.00 ในฤดูหนาว
- จากทางเดินเท้าสะพาน ฝั่งทิศเหนือจะมองเห็นอ่าวโตเกียวและโตเกียวทาวเวอร์ ฝั่งทิศใต้จะมองเห็นอ่าวโตเกียว และในวันที่อากาศปลอดโปร่งอาจมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้ด้วย
สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจโดยรอบ:
- สวนสาธารณะไดบะ สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1853 สมัยโชกุนโทกุกาวะ เพื่อป้องกันการรุกรานจากศัตรู ล้อมด้วยกำแพงหิน ห่างจากสะพานสายรุ้งเพียงไม่กี่เมตรและเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่อ่าวโตเกียวที่สวยงามมาก
- เทพีสันติภาพจำลอง สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1998 เพื่อรำลึกมิตรภาพระหว่างญี่ปุ่นกับฝรั่งเศส มีขนาดประมาณ 1/7 ส่วนเมื่อเทียบกับของจริงที่นิวยอร์ค ยืนหันหน้าไปทางสะพานสายรุ้ง เป็นที่นิยมในการถ่ายภาพของนักท่องเที่ยวจำนวนมาก
การเดินทาง:
- จากโตเกียว นั่งรถไฟ JR ลงที่สถานี Shimbashi แล้วเปลี่ยนไปนั่งรถไฟสาย Yurikamome ซึ่งวิ่งผ่านตัวสะพาน หรือจะลงที่สถานี Shibaura แล้วเดินต่อประมาณ 10 นาที
- ขับรถไปตามทางด่วย Shuto Expressway หมายเลข 11 สาย Odaiba หรือถนนสาย 357
ข้อมูลเพิ่มเติม: https://www.gotokyo.org/th/story/walks-and-tours/rainbow-bridge-and-oedo-onsen/index.html
https://www.jnto.or.th/spring2018/detail/rainbow_bridge
3. สะพานอากาชิไคเกียว (Akashi-Kaikyo Bridge: 明石海峡大橋), จังหวัดเฮียวโงะ
สะพานเชื่อมระหว่างเมืองโกเบและเมืองอะวาจิ ในจังหวัดเฮียวโงะ รู้จักกันในชื่อ สะพานไข่มุก ทอดยาวข้ามช่องแคบอาคาชิ ด้วยระยะทางเกือบ 4 กิโลเมตร และเป็นสะพานแขวนที่ยาวที่สุดโนโลก สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1986 เพื่อลดความเสี่ยงอันตรายจากการเดินทางข้ามฟากช่องแคบอากาชิ ซึ่งแต่เดิมเดินทางด้วยเรือโดยสาร แต่ต่อมาในปี ค.ศ.1986 ได้เกิดเหตุเรือสองลำอับปางลง จนทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก รัฐบาลจึงริเริ่มให้สร้างสะพานนี้ขึ้นมา สะพานอากาชิไคเกียวเปิดทำการในปี ค.ศ.1998 ประกอบด้วยถนน 6 เลน สำหรับเดินทางโดยรถยนต์เท่านั้น
เกร็ดน่ารู้:
- มีแหล่งท่องเที่ยวในตัว คือ หอคอยของสะพานที่มีความสูง 300 เมตร และเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมทัศนียภาพที่ยอดบนสุดซึ่งสามารถเดินเท้าขึ้นไปได้ (มีค่าเข้าชม)
- มีการประดับไฟประมาณ 1,800 ดวง เพื่อเปิดแสดงแสงสีอย่างสวยงามในช่วงเทศกาล
- เป็นส่วนหนึ่งของทางด่วน Kobe-Awaji-Naruto ที่เชื่อมต่อเกาะฮอนชูกับชิโกกุ
สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจโดยรอบ:
- ศูนย์แสดงนิทรรศการสะพานอากาชิไคเกียว (Bridge Exhibition Center) เป็นศูนย์จัดแสดงข้อมูลเกี่ยวกับโครงการของสะพานอากาชิไคเกียว ตั้งแต่การวางแผนไปตลอดจนถึงโครงการในปัจจุบัน เป็นภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น ตั้งอยู่ฝั่งโกเบใต้สะพาน (มีค่าเข้าชม)
- ไมโกะมารีนโรเมเนด (Maiko Marine Promenade) คือ จุดชมวิวจากบริเวณโครงสร้างของสะพาน สูง 50 เมตรจากน้ำทะเล สามารถมองเห็นวิวของช่องแคบอากาชิ และอ่าวโอซาก้า ใช้บริการโดยขึ้นลิฟท์ฝั่งโกเบ (มีค่าเข้าชม)
การเดินทาง:
- ขับรถไปตามเส้นทางของทางด่วน Kobe-Awaji-Naruto
- ตั้งอยู่ห่างจากเส้นทางรถไฟ JR Sanyo Line สถานี Maiko ในระยะที่เดินถึง
ข้อมูลเพิ่มเติม: https://www.japan.travel/th/spot/1049/
4. สะพานโคริ (Kouri Bridge), จังหวัดโอกินาว่า
สะพานโคริ หรือ โคริโอฮาชิ เป็นสะพานเชื่อมเกาะยางาจิ (Yagaji Island) บนเกาะหลัก กับเกาะโคริ (Kouri Island) บริเวณหมู่บ้านนาคิจิน มีระยะทาง 1,960 เมตร เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.2005 รายล้อมด้วยทัศนียภาพของน้ำทะเลสีเขียวมรกตขนาบสองข้างของสะพาน เป็นเส้นทางเดินรถยนต์ที่งดงามและชวนตื่นตาตื่นใจ
เกร็ดน่ารู้:
- หากต้องการถ่ายภาพวิวจากบนสะพาน สามารถทำได้โดยเดินเท้าหรือปั่นจักรยานไปจอดบนทางเดินเท้าได้ ไม่อนุญาตให้จอดรถยนต์บนสะพาน
- เป็นสะพานที่ให้บริการฟรี และยาวเป็นอันดับสองของโอกินาว่า ขณะขับรถผ่านบนสะพานจะให้ความรู้สึกราวกับว่ากำลังล่องลอยอยู่บนพื้นทะเล
สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจโดยรอบ:
- เกาะโคริ (Kouri Island) เกาะขนาดเล็กมีเส้นรอบวงประมาณ 8 กิโลเมตร มีชื่อเล่นว่า เกาะแห่งความรัก เพราะท้ายเกาะมีหินรูปหัวใจตั้งอยู่กลางทะเล ใช้เวลาขับรถรอบเกาะประมาณ 10 นาที มีกิจกรรมสำหรับนักท่องเที่ยวมากมาย โดยเฉพาะบริเวณชายหาด
- สวนน้ำบูเซน่า มารีนพาร์ค (Busena Marine Park) พิพิธภัณฑ์ทางทะเลที่มีปะการังและปลาเขตร้อนสีสันสวยงามหลากหลายสายพันธุ์มาจัดแสดง มีจุดชมวิวใต้น้ำที่สร้างลึกลงไปถึง 4 เมตร พร้อมกระจกชมวิวแบบพาโนราม่า 360° เหมือนปราสาทใต้ท้องทะเล
- อาคารโคริ โอเชี่ยน ทาวเวอร์ (Kouri Ocean Tower) เป็นพิพิธภัณฑ์ทางทะเล ที่มีจุดเด่นคือ การรวบรวมเปลือกหอยจากทั่วทุกมุมโลกกว่า 10,000 ชิ้น ด้านบนมีจุดชมวิวสวยงาม โดยเฉพาะวิวสะพานริที่ทอดยาวกลางท้องทะเล
การเดินทาง:
- จากทางด่วนโอกินาว่าและทางต่างระดับเคียวดะ ผ่านทางหลวงหมายเลข 58 มาทางทิศเหนือ ผ่านถนนจังหวัดหมายเลข 110 ของเกาะยางาจิ ที่มุ่งสู่เกาะโคริ
- จากบูเซน่า มารีนพาร์ค ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 58 เลี้ยวเข้าทางหลวงหมายเลข 110 เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 247 ระยะทาง 25 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 35 นาที
ข้อมูลเพิ่มเติม: https://www.jnto.or.th/model-route/self-travel-5-to-7-days/wanderlust-okinawa/2nd-nago/
https://www.okinawastory.jp/spot/1321/
https://www.visitokinawa.jp/destinations/islands-connected-okinawa-main-island/kouri-island?lang=th
5. สะพานโค้งโจงาคุระ (Jogakura Bridge), จังหวัดอาโอโมริ
ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติโทวาดะ-ฮาจิมันไต ระยะทางรวม 360 เมตร มีช่วงหลักของสะพานยาว 255 เมตร กว้าง 11.5 เมตร มีทางเดินเท้าขนาดกว้าง 2 เมตร อำนวยความสะดวกอยู่ทั้งสองฟากของสะพาน เป็นส่วนหนึ่งของทางหลวงหมายเลข 94 ที่ทอดข้ามผ่านลำธารโจงาคุระ ในจังหวัดอาโอโมริ เปิดให้บริการในปี ค.ศ. 1995 มีชื่อเสียงอย่างมากในเรื่องความสวยงามของทั้งตัวสะพานและทัศนียภาพโดยรอบที่รายล้อมด้วยธรรมชาติอันสมบูรณ์ของภูเขาฮักโกดะ (Mt.Hakkoda) เป็นอีกหนึ่งสถานที่ยอดนิยมของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะในฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่ทั่วทั้งบริเวณจะถูกปกคลุมไปด้วยพืชพรรณหลากสีเหนือลำธารโจงาคุระ ราวกับภาพพาโนราม่าขนาดใหญ่ที่ถูกแต่งแต้มสีสันจนงดงามอย่างไร้ที่ติ
เกร็ดน่ารู้:
- ตัวสะพานจะปิดบริการในตอนกลางคืนของฤดูหนาว
- ลานจอดรถทั้งสองฝั่งตีนสะพาน สามารถจอดรถยนต์ได้ฝั่งละ 15 คัน โดยฝั่งคุโรอิชิจะมีพื้นที่สำหรับจอดรถบัสขนาดใหญ่ได้เพิ่มอีก 2 คัน
- เป็นสะพานโค้งที่ใหญ่และยาวที่สุดในญี่ปุ่น
สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจโดยรอบ:
- ทะเลสาบโทวาดะ (Towada Lake) อยู่ในจังหวัดอาโอโมริ ไม่ไกลจากสะพานโจงาคุระ เป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ที่ล้อมด้วยป่าทึบ งดงามมากโดยเฉพาะช่วงใบไม้เปลี่ยนสี นอกจากนั้นยังมีชายหาดให้เดินชิลริมน้ำ รวมทั้งล่องเรือชมธรรมชาติได้ด้วย
- Hakkoda Ropeway เป็นกระเช้าลอยฟ้าสำหรับชมวิวภูเขาฮักโกดะ เปิดให้บริการตลอดทั้งปี ซึ่งในฤดูหนาวจะมีนักสกีมารวมตัวกันที่นี่เป็นจำนวนมาก
การเดินทาง:
- ขับรถประมาณ 35 นาที จากแยกคุโรอิชิ (Kuroishi Interchange) โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 94
- นั่งรถบัสสาย Towada Kita Line ที่จะไป Mizuumi จากสถานี Aomori มาลงที่สถานี Jogakura Onsen จากนั้นต่อรถโดยสารหรือรถแท็กซี่ไปที่ตัวสะพาน
ข้อมูลเพิ่มเติม: https://kuroishi.or.jp/english/jogakura-bridge
6. สะพานคินไตเคียว (Kintaikyo Bridge), จังหวัดยามากูชิ
เป็นหนึ่งในสามของสะพานที่สวยและโดดเด่นที่สุดในญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในเมืองอิวาคุนิ จังหวัดยามากูจิ เป็นสะพานไม้ 5 โค้ง บนเสาหินขนาดยักษ์ 4 ต้น ข้ามแม่น้ำคาวาระ กว้าง 5 เมตร ยาว 193.3 เมตร มีประวัติศาสตร์ยาวนานย้อนหลังไปในปี ค.ศ.1673 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีพิธีบวงสรวงเพื่อก่อสร้างสะพานแห่งนี้ ก่อนจะถูกภัยพิบัติต่างๆทำลายแต่ก็ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์เรื่อยมาโดยภาครัฐและชาวบ้านในพื้นที่ ก่อนจะสมบูรณ์แบบในปี 2004 ซึ่งต้องใช้เม็ดเงินมหาศาล ทำให้ต้องมีการเก็บค่าเข้าชมสะพาน (ซึ่งไม่แพงนัก) ได้รับขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติชาติในปี ค.ศ.1922 ขึ้นชื่อเรื่องความงดงามทั้งด้วยตัวสะพานเองและสภาพแวดล้อมโดยรอบที่ชวนตราตรึงในทุกฤดูกาล
เกร็ดน่ารู้:
- หากมองมาจากด้านล่าง จะเห็นว่าสะพานถูกดัดให้โค้งด้วยสายรัดเหล็ก (Makikin) และมีเทคนิคประกอบไม้ระดับสูงแบบ “คางุไซ” ที่ทำให้โครงสร้างของสะพานแข็งแรงทนทาน
- วันที่ 29 เมษายน ของทุกปี จะมีการจัดงานเทศกาล Kintaikyo เพื่อแสดงถึงความกตัญญูของคนพื้นที่ต่อบรรพบุรุษผู้สร้างสะพาน
- ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนจนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม จะมีเทศกาลการจับปลาของนกกาน้ำ (Cormorant Fishing: Ukai) เป็นการประมงพื้นบ้านที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ยุคเอโดะ
สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจโดยรอบ:
- ปราสาทอิวาคุนิ (Iwakuni Castle) ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ต้นยุคเอโดะ แต่ถูกทำลายโดยสงครามและภัยธรรมชาติ ทำให้ต้องมีการบูรณปฏิสังขรณ์เรื่อยมา จนในปี ค.ศ.1962 จึงถูกบูรณะอีกครั้งด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก จนกลายเป็นปราสาทเก่าแก่ที่มีความงดงามสมบูรณ์มากที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น
- สวนสาธารณะคิกโกะ (Kikko Park) เป็นสวนสาธารณะยอดนิยมของนักท่องเที่ยว โดยการจะเข้ามาชมสวนคิกโกะ จะต้องเดินข้ามสะพานคินไตเคียวเข้ามาเท่านั้น ซึ่งนอกจากจะมีความร่มรื่นแล้ว ยังเป็นที่ตั้งรูปปั้นของบุคคลผู้ริเริ่มก่อสร้างสะพานคินไตเคียว “คิกคาวะ ฮิโรโยชิ” ขุนนางศักดินาลำดับสามของเมืองอิวาคุนินั่นเอง
การเดินทาง:
- จากรถไฟ JR สถานี Iwakuni เดินมาขึ้นรถบัสที่ Kintaikyo Bus Center ไปลงที่ป้าย Kintaikyo ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที
- จากสถานีรถไฟ Shin-Iwakuni Shinkansen นั่งรถบัส Kintai Kyo Bus Stop ลงที่ป้าย Kintaikyo ใช้เวลาประมาณ 10 นาที
ข้อมูลเพิ่มเติม: http://kintaikyo.iwakuni-city.net/en/
http://kintaikyo-bridge.jp/en/
https://www.jnto.or.th/newsletter/kintaikyo/
By Pok Safin
ขอบคุณข้อมูล:
http://www.visit-jy.com/th/spots/11030
https://www.gotokyo.org/th/story/walks-and-tours/rainbow-bridge-and-oedo-onsen/index.html
https://www.jnto.or.th/spring2018/detail/rainbow_bridge
https://www.japan.travel/th/spot/1049/
https://www.jnto.or.th/model-route/self-travel-5-to-7-days/wanderlust-okinawa/2nd-nago/
https://www.okinawastory.jp/spot/1321/
https://www.visitokinawa.jp/destinations/islands-connected-okinawa-main-island/kouri-island?lang=th
https://kuroishi.or.jp/english/jogakura-bridge
http://kintaikyo.iwakuni-city.net/en/
http://kintaikyo-bridge.jp/en/
https://www.jnto.or.th/newsletter/kintaikyo/