ที่เที่ยวในญี่ปุ่น

ขับรถชิว ๆ เที่ยวฟุกุชิม่า 3 วัน 2 คืน

3.1

สวัสดีค่า กลับมาพบกันอีกครั้งกับบทความท่องเที่ยวที่โทโฮคุค่า บางคนอาจจะลืมไปแล้วว่า ‘โทโฮคุ (Tohoku)’ คือที่ไหน หรือเพื่อน ๆ บางคนอาจจะไม่คุ้นหูคำว่าโทโฮคุเท่าไหร่นัก เราจะมาพูดถึงโทโฮคุกันอีกครั้งนะคะ โทโฮคุคือหนึ่งในภูมิภาคของประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ในภูมิภาคนี้มีทั้งหมด 7 จังหวัดด้วยกัน นั่นก็คือ จังหวัดอาโอโมริ จังหวัดอะคิตะ จังหวัดอิวาเตะ จังหวัดยามะกาตะ จังหวัดมิยากิ จังหวัดนิกาตะ และจังหวัดฟุกุชิม่าค่ะ ในวันนี้เราตั้งใจจะพาเพื่อน ๆ ทุกคนไปเยือนยังดินแดนตอนล่างของโทโฮคุกันค่ะ จังหวัดฟุกุชิม่า (Fukushima Prefecture) คือเป้าหมายใหม่ของเรา ไปกันเลยค่า ><

ฟุกุชิม่า เป็นจังหวัดที่ยังคงไว้ซึ่งความเป็นญี่ปุ่นแท้ ๆ อย่างเต็มเปี่ยม สังเกตได้จากอาคารบ้านเรือนที่มีเสน่ห์ ปราสาทเก่าที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยเมจิ ไม่เพียงเท่านั้น จังหวัดฟุกุชิม่ายังมีเมนูอาหารและเครื่องดื่มอีกมากมายที่หากได้มาเยือนถิ่นนี้แล้วต้องห้ามพลาดเลยล่ะค่ะ ไม่ว่าจะเป็นสาเกเลิศรส ผลไม้หวานอร่อย เมนูเส้นขึ้นชื่อ เนื้อม้าดิบ ที่พูดมาทั้งหมดนี้จะเป็นอย่างไร ไปชมกันเลยค่า

Day 1 : สถานีโตเกียว > โคริยามะ (จังหวัดฟุกุชิม่า)

เช่นเคยค่ะ เรามาเริ่มต้นการเดินทางจากสถานีโตเกียว (Tokyo station) ไปยังสถานีโคริยามะ (kori-yama station) ซึ่งอยู่ในจังหวัดฟุกุชิม่า ด้วยรถไฟความเร็วสูง หรือที่ทุกคนรู้จักกันในชื่อรถไฟชิงกันเซน ใช้เวลาเพียงแค่ 1 ชั่งโมงครึ่งเท่านั้น ก็ถึงสถานีเป้าหมายกันแล้วค่ะ และเนื่องจากเราออกเดินทางในช่วงเย็น พอมาถึงสถานีโคริยามะก็ค่อนข้างจะมืดแล้ว ท้องเริ่มส่งเสียงร้อง เราเลยหาร้านอาหารใกล้กับสถานีเพื่อรับประทานมื้อเย็น จากนั้นก็เดินทางไปยังที่พักเพื่อพักผ่อนร่างกาย เตรียมลุยในวันถัดไปค่ะ สถานที่ที่เราใช้พักในคืนแรกเป็น business hotel ใกล้สถานีรถไฟ ชื่อโรงแรม ‘Toyoko INN Koriyama’ ค่ะ ราคาที่พักต่อคืนไม่แพงมาก แถมยังมีอาหารเช้าให้รับประทานฟรีอีกด้วยค่ะ ถือว่าเป็นวันแรกที่ยอดเยี่ยม

Day 2 : โออุจิจุคุ / ปราสาทสึรุกะ

เนื่องจากเราจองรถเช่าเอาไว้สำหรับการเดินทางในวันนี้และวันรุ่งขึ้น เราจึงไปรับรถที่ร้านซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสถานีนัก หลังจากรับรถเรียบร้อย ก็เรียกได้ว่าเราเริ่มออกเดินทางกันจริงจังแล้วค่า ><  จุดหมายแรกที่เราตั้งใจมุ่งหน้าไปก็คือ ‘โออุจิจุคุ (Ouchi-juku)’ หมู่บ้านเก่าที่ยังคงกลิ่นอายความโบราณไว้อย่างดี หมู่บ้านนี้ถูกสร้างและเก็บรักษามาตั้งแต่สมัยเอโดะ โดยมีเอกลักษณ์ตรงที่มีใช้ใบของต้นคายาบุกิมุงหลังคา ซึ่งยากที่จะเห็นได้ในปัจจุบันค่ะ

ณ ตอนนี้สถานที่แห่งนี้ได้มีการปรับเปลี่ยนเป็นร้านขายของฝาก ร้านอาหาร และพิพิธภัณฑ์ จึงมีผู้คนมาเยี่ยมเยียนอย่างไม่ขาดสายเลยค่ะ มุมถ่ายรูปยอดฮิตของนักท่องเที่ยวคือบนเนินเขาด้านหลังที่มองเห็นวิวทั้งหมู่บ้านค่ะ พอขึ้นไปอยู่บนเนินเขาลูกนี้ นอกจากจะได้ภาพสวย ๆ แล้วยังได้ชมทัศนียภาพบ้านเรือนที่ถูกออกแบบให้จัดเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ สบายตา ไม่ว่าใครได้มาเห็นก็จะต้องประทับใจอย่างแน่นอนค่ะ

หลังจากถ่ายรูปหมู่บ้านเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาเดินดื่มด่ำบรรยากาศย้อนยุคกันค่ะ พอเดินผ่านร้านขายของฝาก เห็นของน่ารัก ๆ วางขายละลานตาเต็มไปหมด อดไม่ได้ที่จะต้องซื้อของติดไม้ติดมือกลับบ้านเลยค่ะ ><

ระหว่างทางก็จะมีมุมน่ารักมากมาย เช่น มุมขายน้ำหวานโซดา (ramune)

และยังมีเจ้าของร้านสี่ขาสุดน่ารัก ‘เจ้าแมวเหมียว’ คอยให้บริการลูกค้านั่นเอง ที่ปลอกคอของเจ้าของร้านนั้นมีตัวอักษรข้อความว่า “ก่อนที่จะจับตัวคุณเจ้าของร้านคิวให้ล้างมือก่อนนะเมี้ยว~” 555555 น่าเอ็นดูที่สุดเมื่อได้คุยกับเจ้าของร้าน (ตัวจริง) ก็ได้ทราบว่า น้องเหมียวคิวเคยออกโทรทัศน์ด้วยนะคะ ดังใช่ย่อยเลย

เดินจนทั่วแล้ว ท้องก็เริ่มจะร้อง หาของมาเติมพลังกันดีกว่าค่ะ มาถึงถิ่นแล้วก็พลาดไม่ได้ที่จะต้องกินอาหารขึ้นชื่อของที่นี่ นั่นก็คือ ‘เนกิโซบะ’ หรือ ‘โซบะต้นหอม’ นั่นเองค่ะ เป็นถึงของขึ้นชื่อแน่นอนว่าจะต้องไม่ธรรมดาค่ะ ต้นหอมของที่นี่ไม่ได้มาแบบสับแล้ว แต่มาเป็นแท่งเลยค่ะ 55555 ที่บอกว่าไม่ธรรมดาเพราะวิธีรับประทานก็คือใช้แท่งต้นหอมแทนตะเกียบ ทำให้เวลารับประทานนั้นได้กลิ่นของต้นหอมและรสชาติอย่างเต็มที่เลยค่ะ หน้าตาของจานก็จะประมาณนี้

ส่วนเพื่อน ๆ คนไหนที่ไม่ชอบรับประทานต้นหอมก็ยังมีเมนูอื่นให้เลือกทานได้ค่ะ พิเศษและอร่อยไม่แพ้กันเลยนะคะ

บรรยากาศภายในร้านอาหารดีมาก มีความเป็นญี่ปุ่นแท้ ๆ เลยค่ะ มองออกจากร้านไปเห็นวิวข้างนอกก็สวยไม่แพ้กันเลยนะคะ

นี่ค่ะภาพบรรยากาศภายนอกร้าน ญี่ปุ๊นญี่ปุ่นค่ะ

หลังจากรับประทานอาหารคาวเสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาตามล่าของหวานกันค่ะ และที่ที่เราจะไปต่อก็คือสวนผลไม้นั่นเอง จากหมู่บ้านโบราณโออุจิจุคุขับรถไปใช้เวลาประมาณ 45 นาที ก็จะถึงสวนผลไม้ ‘คะบุริการ์เด้น’ (Kaburi garden) ค่ะ ที่ด้านหน้าของสวนจะมีขายผลไม้สำหรับซื้อกลับบ้าน และจะมีจุดจำหน่ายตั๋วสำหรับคนที่อยากจะเข้าไปชมภายในสวน นอกจากจะได้เข้าชมเพื่อไปถ่ายรูปกับสวนผลไม้แล้ว เรายังสามารถเด็ดผลไม้สด ๆ จากต้นมารับประทานแบบไม่อั้นด้วยค่ะ ประเภทของผลไม้ก็จะขึ้นอยู่กับฤดูกาล ตอนที่เราไปเป็นฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งเป็นช่วงขององุ่น แอปเปิ้ล และลูกพลัมค่ะ ไม่ให้เป็นการเสียเวลาเรามาเข้าไปดูในสวนกันเลยค่า

ส่วนแรกที่เจอได้เลยเมื่อเดินเข้าไปก็จะพบกับองุ่นเขียว และองุ่นม่วง เรียงรายกันเต็มไปหมดเลยค่ะ น่ารับประทานใช่ไหมเอ่ย~

เมื่อเดินลึกเข้าไปก็จะพบกับต้นลูกพรุน และต้นแอปเปิ้ล หลายสิบต้นเลยค่ะ เยอะจนเลือกไม่ถูกว่าจะเด็ดผลไม้ชนิดไหนมาชิมก่อนดี แต่ละผลเนี่ยสีสวยน่ารับประทานสุด ๆ

หลังจากเด็ดผลไม้ที่ถูกใจแล้ว ทางสวนก็จะมีโต๊ะจัดเตรียมไว้ให้นั่งรับประทานกันค่ะ นี่ก็คือผลไม้ที่เราเด็ดมาค่ะ แนะนำว่าเด็ดแต่พอดีทานนะคะ^^

เมื่อรับประทานอย่างอิ่มหนำสำราญแล้ว เราก็เดินทางต่อไปยัง ‘สึรุกะโจ’ (Tsuruga Castle) หรือ ปราสาทสึรุกะ เป็นสถานที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างมาก เพราะเคยเป็นจุดศูนย์กลางของแคว้นไอสึวากามัตสึ (Aizu-Wakamatsu) ในอดีต และเคยถูกทำลายลงไป ภายหลังได้มีการบูรณะขึ้นใหม่อย่างที่เห็นในปัจจุบันค่ะ ตัวปราสาทตั้งตระหง่า ดูน่าเกรงขามสุด ๆ ไปเลยค่ะ

เมื่อเข้าไปข้างในก็จะมีการจัดนิทรรศการณ์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของปราสาทแห่งนี้ รวมถึงเรื่องราวความเป็นมาของแคว้นไอซึวากามัตสึ และเดินขึ้นไปถึงชั้นบนสุดก็เป็นจุดชมวิว สามารถชมทัศนียภาพรอบประสาทได้อีกด้วยค่ะ

หลังจากเดินทางมาทั้งวันจนเหนื่อยแล้ว ก็ถึงเวลามุ่งหน้าไปยังที่พักคืนที่สอง ที่ที่เราพักในคืนนี้เป็นเรียวกังสไตล์ญี่ปุ่น ชื่อว่า Kutsurogijuku Chiyotaki นอกจากห้องพักจะกว้าง เตียงนุ่มสบายแล้ว อาหารก็ยังอร่อยสุด ๆ อาหารค่ำเป็นแบบบุฟเฟต์ตักได้ไม่อั้น นอกจากตักอาหารด้วยตัวเองแล้วยังสามารถสั่งกับพนักงานที่ซุ้มอาหารให้ทำชาบูชาบู เทมปุระ และเมนูอื่น ๆ ได้ด้วยอีกค่ะ

CR : chiyotaki.kutsurogijuku.jp/

   สำหรับเมนูที่พลาดไม่ได้เลย อยากให้เพื่อน ๆ ได้ลองชิมกัน นั่นก็คือ ‘เนื้อม้าดิบ’ ซึ่งเป็นหนึ่งในเมนูขึ้นชื่อของจังหวัดฟุกุชิม่า

หลังจากที่อาหารแน่นกระเพาะแล้ว ก็ขอตัวไปแช่ออนเซนสุดฟิน และพักผ่อนเตรียมแรงไว้สำหรับวันรุ่งขึ้นก่อนนะคะ

Day 3 : ถ้ำอะบุคุมะ (Abukuma Caves)

วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วค่ะ ที่ที่เราจะไปกันก็คือถ้ำอะบุคุมะ (Abukuma Caves) ถ้ำนี้ได้ถูกสร้างโดยธรรมชาติมาตั้งแต่ 80 ล้านปีที่แล้ว มีความยาวถึง 600 เมตร นอกจากนี้ยังมีจำนวนหินย้อยเป็นอันดับหนึ่งของเอเชียด้วยนะคะ เมื่อเดินทางไปถึงบริเวณที่จอดรถ ก็จะพบกับหน้าผาหินแกรนิตขนาดใหญ่อลังการสุด ๆ

ถ้ามองออกมาจากฝั่งถ้ำ ก็จะเห็นวิวภูเขาและป่าไม้เขียวขจีสุดลูกหูลูกตาเลยค่ะ

แค่วิวทิวทัศน์ภายนอกถ้ำยังยิ่งใหญ่ตระการตาขนาดนี้ แล้วภายในถ้ำจะขนาดไหนเนี่ย เพื่อไม่ให้เสียเวลา เราเข้าไปตะลุยในถ้ำกันเลยดีกว่าค่ะ ภายในถ้ำจะมีอุณหภูมิค่อนข้างคงที่ประมาณ 15 องศา สำหรับเพื่อน ๆ ที่มาเที่ยวตอนฤดูร้อน แนะนำให้เตรียมเสื้อกันหนาวติดไม้ติดมือมาด้วยก็ดีนะคะ ภายในถ้ำจะมีการส่องไฟเพื่อให้มองเห็น แต่เมื่อตกกระทบเป็นแสงและเงาแล้ว ดูสวยงามมากเลยค่ะ

ใช้เวลาเดินดูรอบ ๆ ภายในบริเวณถ้ำทั้งหมดประมาณ 40 นาทีค่ะ ที่บริเวณทางออกจะมีร้านขายของที่ระลึกค่ะ ภายในร้านจะมีการจัดแสดงเสื้อของทีมนักฟุตบอลหมูป่าที่เข้าไปติดที่ถ้ำหลวงนางนอนด้วยค่ะ เนื่องจากมีการส่งคนจากญี่ปุ่นไปช่วยเหลือในสถานการณ์นี้ด้วย แสดงให้เห็นถึงสายสัมพันธ์อันดีงามระหว่างไทยกับญี่ปุ่นอีกด้วยค่ะ

และแล้วก็ถึงเวลากลับแล้วค่ะ เรามุ่งหน้าไปยังสถานีโคริยามะอีกครั้ง เพื่อคืนรถ และกลับโตเกียวด้วยชิงกันเซน เป็นอันปิดทริปขับรถชิว ๆ เที่ยวฟุกุชิม่า 3 วัน 2 คืนค่า

เป็นอย่างไรบ้างคะ ภูมิภาคโทโฮกุมีที่เที่ยวน่าไปมากมายเลยใช่ไหมคะ ใครมีแพลนจะมาท่องเที่ยวที่ญี่ปุ่นต้องห้ามพลาดภูมิภาคนี้แล้วนะคะ ครั้งหน้าจะพาไปเที่ยวที่ไหนบ้าง ต้องคอยติดตามกันค่ะ

ข้อมูลในหน้านี้อาจมีข้อมูลในวันที่เผยแพร่ แม้ว่าเราจะพยายามอัปเดตข้อมูลอย่างต่อเนื่อง แต่โปรดทราบว่าข้อมูลบางอย่างอาจไม่ได้รับการอัปเดต
RELATED POST

ถ้าคุณชอบบทความนี้
กด "ถูกใจ" ด้วย!

กด “ถูกใจ” และรับข้อมูลล่าสุด!