ที่เที่ยวในญี่ปุ่น

ชวนผจญภัย 7 ที่เที่ยวนอกสายตา…ที่ถ้าไม่มาก็ถือว่าพลาด!

Cover - Off the path

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ เต็มไปด้วยธรรมชาติอันสวยงามตามแต่ละภูมิภาค มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ศิลปะและวัฒนธรรมที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์อยู่ทั่วทุกมุมเมือง นอกจากนั้นยังมีเทคโนโลยีและระบบคมนาคมขนส่งที่ทันสมัย ทำให้เกิดแหล่งท่องเที่ยวที่สุดยอดมากมายในทุกรูปแบบ

แน่นอนว่า ลำพังแค่ที่เที่ยวดังๆอันเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายก็มีเยอะจนเที่ยวแทบไม่หมด แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะฉีกแนวไปเที่ยวในที่ใหม่ๆที่ไร้ซึ่งคลื่นของมวลมหาชนจะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะการได้ไปในสถานที่ลึกแต่ไม่ลับเหล่านั้น บางครั้งอาจจะฟินยิ่งกว่าเสียอีก

วันนี้ทางผู้เขียนเลยมีไอเดียที่จะมาแนะนำที่เที่ยวสุดปังแต่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักหรือพูดถึงมากนักในหมู่นักท่องเที่ยว ซึ่งแต่ละแห่งที่เลือกมาก็อิงตามความสนใจของผู้เขียนเอง และพยายามจะไม่ให้ซ้ำกับบทความของผู้เขียนท่านอื่นๆ หวังว่าทุกคนจะชอบกัน

++++++++++ ♦ ++++++++++

1. สัมผัสชีวิตชาวประมงที่ อิเนะ (Ine Fishing Village), จังหวัดเกียวโต

เมืองท่าเล็กๆทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกียวโต ซ่อนตัวอยู่ระหว่างภูเขาและอ่าวอิเนะ มีผู้คนอาศัยอยู่ประมาณ 2,200 คน มีอุตสาหกรรมหลักคือการทำประมง มีท่าเรือประมงถึง 5 แห่ง รวมทั้งท่าเรือหลักอย่าง Ine, Nii และ Kamanyu

“อิเนะ” จะมีชีวิตชีวาอย่างมากเมื่อเรือประมงกลับมาที่ท่าเรือหลักในตอนเช้าหลังออกเรือมาทั้งคืน ซึ่งจะมีการประกาศให้ชาวบ้านรับทราบว่าเรือกำลังกลับเข้าฝั่ง จากนั้นชาวบ้านจะออกมารอเลือกซื้อวัตถุดิบจากทะเลกันอย่างคึกคัก และด้วยระบบแบบนี้จึงทำให้อิเนะไม่จำเป็นต้องมีร้านขายปลาเลยด้วยซ้ำ

นอกจากอาชีพการทำประมงแล้ว อิเนะยังถูกกล่าวถึงอย่างมากในเรื่องบ้านไม้และโรงเรือ หรือ “ฟุนายะ” ในภาษาญี่ปุ่น ฟุนายะกว่า 230 หลัง ตั้งเรียงรายอยู่ริมแม่น้ำทอดยาวกว่า 5 กิโลเมตร โดยแต่ละหลังจะมีท่าจอดเรือหาปลาเล็กๆตามแบบฉบับของชาวประมงแบบดั้งเดิม และด้วยภาพสุดคลาสสิคของฟุนายะหลายร้อยหลังนี่เองที่ทำให้อิเนะถูกยกย่องว่าเป็นหมู่บ้านที่สวยงามที่สุดในญี่ปุ่น ฟุนายะหลายๆแห่งได้ผันตัวเองมาเป็นเกสท์เฮ้าส์เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวในปัจจุบัน

กิจกรรม: นั่งเรือชมวิวตะวันลับฟ้า พายเรือคายัคบนผืนน้ำสีเขียวใสบริสุทธิ์ หรือจะใส่ยูกาตะเดินเล่นในหมู่บ้านเพื่อสัมผัสความเป็นญี่ปุ่นขนานแท้ และห้ามพลาดการไปเรียนทำซาชิมิด้วยปลาสดๆจากทะเลกับเชฟผู้เชี่ยวชาญในหมู่บ้าน

การเดินทาง: นั่งรถไฟ JR Hashidate Limited Express ที่สถานีเกียวโต ไปลงที่สถานี Amanohashidate จากนั้นนั่งรถบัสโดยสารที่จะไปยัง Ine ซึ่งรถจะออกจากสถานีชั่วโมงละ 1 คันเท่านั้น ใช้เวลาเดินทางประมาณ 60 นาที โดยรถบัสคันสุดท้ายจะออกจากสถานีราวๆ 18.00 น.

ข้อมูลเพิ่มเติม: http://www.ine-kankou.jp/

++++++++++++++++++++

2. ย้อนเวลาสู่เอโดะ ณ นาราอิจูกุ (Narai-Juku), จังหวัดนางาโนะ

ตั้งอยู่ในเขตเมืองชิโอจิริ จังหวัดนางาโนะ เป็นหนึ่งใน 69 หมู่บ้านที่ตั้งอยู่บนทางหลวง Nakesendo ที่เคยเป็นเส้นทางการค้าระหว่างเมืองเอโดะ (โตเกียว) และเกียวโต ถือกำเนิดขึ้นในสมัยเอโดะเพื่อเป็นที่พักค้างแรมสำหรับนักเดินทางในสมัยนั้น แม้ในอดีตจะมีหมู่บ้านในลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นมากมาย แต่ “นาราอิ” กลับมีชื่อเสียงมากที่สุด มีความโดดเด่นด้วยบ้านโบราณแบบเอโดะหลายร้อยหลังตั้งเรียงรายริมถนนที่ทอดยาวจากเหนือจรดใต้กว่า 1 กิโลเมตร จากตะวันออกจรดตะวันตกกว่า 200 เมตร

ตั้งอยู่ในภูมิประเทศที่สูงที่สุดในบรรดาจุดแวะพักต่างๆตามแนวคิโซจิ และอยู่ใกล้กับ Torii Pass ซึ่งเป็นจุดที่ยากที่สุดที่ทุกคนต้องผ่านในการเดินทางบนถนนสายนี้ นักเดินทางส่วนใหญ่จึงเลือกแวะพักที่นาราอิก่อนจะออกเดินทางสู่จุดหมายต่อไป ก่อให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนสร้างรายได้และความเจริญรุ่งเรืองมากมายตามมา

ในปัจจุบัน “นาราอิ” ได้กลายเป็นสถานที่อนุรักษ์สถาปัตยกรรมญี่ปุ่นโบราณ เพื่อคงบรรยากาศที่เปี่ยมล้นด้วยมนต์สเน่ห์ของเมืองเก่าอายุหลายร้อยปี ดังนั้นอาคารและบ้านเรือนต่างๆจึงได้รับการเก็บรักษาให้คงสภาพงดงามตามแบบเอโดะได้อย่างสมบูรณ์ จนได้รับการยกย่องว่าเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมในหมวดหมู่สิ่งปลูกสร้างแบบดั้งเดิมของสมบัติทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่นในปี พ.ศ. 2521 และได้รับการดูแลโดยระบบการให้ทุนของรัฐบาลญี่ปุ่น

กิจกรรม: ด้วยความเป็นเมืองที่เงียบสงบ การเดินไปตามถนนและสะพานเพื่อชมความงามของหมู่บ้านดูจะเป็นกิจกรรมหลักที่ไม่น่าเบื่อเลยแม้แต่น้อย นอกจากนั้นการแวะเรียนรู้ประวัติศาสตร์ในพิพิธภัณฑ์ หรือเดินป่าตามถนนทางหลวง Nakasendo ก็น่าจะสร้างความบันเทิงให้คุณได้ดีทีเดียว

การเดินทาง: จากโตเกียว นั่งรถไฟ JR Chuo Line ไปลงที่สถานี Shiojiri จากนั้นเปลี่ยนมานั่งขบวน JR Chuohonsen Line for Nakatsukawa ไปลงที่สถานี Narai ใช้เวลาทั้งสิ้นประมาณ 2 ชม.45 นาที หรือหากคุณเดินทางมาจากจังหวัดอื่นๆ ก็ให้เลือกเส้นทางรถไฟที่สามารถเดินทางมาถึงสถานี Narai เป็นหลักเพราะหมู่บ้านจะตั้งอยู่ใกล้ๆกับสถานี ทำให้เดินทางค่อนข้างง่าย

ข้อมูลเพิ่มเติม: https://en.wikipedia.org/wiki/Narai-juku

http://japantravelmate.com/nagano/naraijuku-traditional-japan-nakasendo

++++++++++++++++++++

3. นั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลาสู่เอโดะที่ มาโงเมะจูกุ (Magome-Juku), จังหวัดกิฟุ

ไม่ต้องจินตนาการให้ยากว่าบ้านเมืองในศตวรรษที่ 17 นั้นมีหน้าตาอย่างไร เพราะแค่มาที่มาโงมะจูกุ คุณก็จะได้สัมผัสกับบรรยากาศญี่ปุ่นโบราณยุคเอโดะได้ทันที “มาโงเมะจูกุ” เป็นอีกหนึ่งใน 69 หมู่บ้านโบราณที่ตั้งอยู่บนทางหลวง Nakesendo ที่เคยเป็นเส้นทางการค้าระหว่างเมืองเอโดะ (โตเกียว) และเกียวโต ถือกำเนิดขึ้นในสมัยเอโดะเพื่อเป็นที่พักค้างแรมที่เพียบพร้อมทั้งที่พัก อาหาร และตลาดสำหรับนักเดินทางในสมัยนั้น

เนื่องจากอยู่ห่างไกลจากเส้นทางความเจริญ “มาโงเมะ” อาจจะไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังเทียบเท่า “นาราอิ” ในช่วงก่อนหน้านี้ ทางเมืองจึงได้ใช้โอกาสที่ยังไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมากนัก มาปรับปรุงและสร้างให้หมู่บ้านกลายเป็นเมืองแบบในสมัยเอโดะขนานแท้ เป็นตำนานที่ยังมีชีวิตเพราะบ้านแต่ละหลังยังคงเป็นที่อยู่อาศัยจริงของชาวบ้าน ให้บรรยากาศราวกับนั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลายังไงยังงั้น แต่มีข้อควรระวังสำหรับนักท่องเที่ยวขณะเดินเล่นถ่ายรูปในหมู่บ้านไปเรื่อยๆ ต้องคำนึงด้วยว่าบางสถานที่อาจเป็นพื้นที่ส่วนบุคคลซึ่งไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปหรือทำกิจกรรมที่เป็นการรบกวนผู้อยู่อาศัย

กิจกรรม: เดินสำรวจถนนหนทางในหมู่บ้านที่ปูพื้นด้วยหิน หรือจะไปเรียนรู้เรื่องราวท้องถิ่นในพิพิธภัณฑ์ที่อุทิศให้กับนักประพันธ์คนสำคัญ Toson Shimazaki รวมทั้งห้ามพลาดชมวิวของ Nakasendo จากมุมสูงบนเนินเขาที่สวยไม่ซ้ำใครจริงๆ

การเดินทาง: ง่ายที่สุดคือให้นั่งรถไฟไปลงที่สถานี JR Nagoya จากนั้นรถ Shinano Express จาก JR Chuo Main Line ไปลงที่สถานี Nakatsugawa แล้วต่อรถบัสสายที่จะไป Megome-Juku ได้เลย

ข้อมูลเพิ่มเติม: https://visitgifu.com/see-do/magome-juku-historic-post-town/

https://www.japan.travel/en/spot/1271/

++++++++++++++++++++

4. น้ำตกฟุกิวาเระ ไนแองการ่าตะวันออก (Fukiware Falls), จังหวัดกุนมะ

ได้รับยกย่องให้เป็นหนึ่งในสถานที่งดงามระดับประเทศ National Designated Place of Scenic Beauty และเป็นอนุสรณ์สถานทางธรรมชาติ – “น้ำตกฟุกิวาเระ” ตั้งอยู่ในเขตเมืองนุมาตะ จังหวัดกุนมะ เป็นต้นน้ำของแม่น้ำคาตาชินะ (Katashina River) เกิดจากการกัดเซาะของหินเปลือกโลกอย่างช้าๆเป็นเวลานานกว่า 10,000 ปี จนกลายเป็นน้ำตกรูปตัววี สูง 7 เมตรกว้าง 30 เมตร เคลื่อนที่อย่างทรงพลังท่ามกลางธรรมชาติงดงามอย่างน่าอัศจรรย์ จนถูกขนานนามว่าเป็นไนแองการ่าตะวันออก

น้ำตกฟุกิวาเระ จะมีภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆตามฤดูกาล โดยเฉพาะสีสันสดใสในฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วงที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างมาก – สำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากสัมผัสประสบการณ์สุดมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่น้ำตกแห่งนี้ แนะนำให้ถอดรองเท้าแล้วเดินลัดเลาะไปเรื่อยๆตามริมธารจนถึงจุดที่สายน้ำไหลมารวมกันที่ปลายน้ำตก รับประกันว่าคุณจะอิ่มเอมใจกับสิ่งที่มองเห็นด้วยตาและสัมผัสด้วยกายอย่างแน่นอน

กิจกรรม: อย่าจำกัดตัวเองให้อยู่แค่ในพื้นที่เดียวของน้ำตก เดินลงไปตามหุบเขาแล้วคุณจะพบกับโขดหิน Hanya Rocks ที่ดูลึกลับ และน้ำตกมัตสึโทบิ ที่สูง 15 เมตร ที่ธรรมชาติได้สลักเสลาขึ้นมาอย่างตั้งใจ และหากว่าเดินเล่นจนเหนื่อยแล้ว ก็อย่าลืมแวะไปแช่น้ำแร่ธรรมชาติที่ Oigami Onzen กันด้วยนะ

การเดินทาง: จากโตเกียว นั่งรถไฟ JR Joetsu Shinkansen ไปลงที่สถานี Jomo Kogen ใช้เวลาประมาณ 75 นาที จากนั้นนั่งรถบัส ซึ่งจะมีสายตรงจากสถานีไปยังน้ำตกฟุกิวาเระ ใช้เวลาประมาณ 70 นาที

ข้อมูลเพิ่มเติม: https://www.japan.travel/en/spot/1499/

https://www.numata-kankou.jp/en/nature/fukiwarefalls

++++++++++++++++++++

5. โอบกอดด้วยปุยเมฆที่ปราสาททาเคดะ (Takeda Castles Ruins), จังหวัดเฮียวโงะ

ตั้งอยู่ในเขตเมืองอาซาโกะ ทางตอนเหนือของจังหวัดเฮียวโงะ ด้วยลักษณะทางกายภาพที่เป็นซากปรักหักพังของปราสาทและตั้งอยู่บนยอดเขาสูง ทำให้ “ปราสาททาเคดะ” เหมือนหลุดออกมาจากหนังไซไฟผจญภัยสไตล์สมบัติพระศุลี จนมีสมญานามว่าเป็น “มาชูปิชูญี่ปุ่น” รวมทั้ง “ปราสาทลอยฟ้า” เพราะถูกโอบล้อมด้วยม่านหมอกสีขาวบังตาจนดูราวกับว่าปราสาทกำลังล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าจริงๆ แต่การจะเห็นภาพปราสาทลอยฟ้าได้เต็มๆ นอกจากจะต้องเข้าใจเรื่องช่วงเวลาแล้ว (ที่เหมาะสมควรเป็นช่วงเช้าในฤดูใบไม้ร่วงหรือหน้าหนาว) คุณอาจจะต้องอาศัยดวงด้วยนิดนึงนะ เพราะถ้าฝนฟ้าไม่เป็นใจก็อาจจะนกได้เหมือนรอดูฟูจิซังนั่นล่ะ

ด้วยระดับความสูงจากน้ำทะเลถึง 353 เมตร จึงต้องใช้เวลาประมาณ 40 นาที ในการเดินไปจากจุด Yamajiro-no-sato (จุดบริการหลัก มีร้านอาหาร ห้องน้ำ ฯลฯ) ขึ้นไปจนถึงยอดเขาที่ปราสาทตั้งอยู่ หรือหากคุณคิดจะใช้เงินแก้ปัญหาด้วยการนั่งรถ “Tenku Bus” ที่จะพาคุณไปหย่อนไว้ที่กลางทาง จากนั้นค่อยเดินขึ้นไปต่ออีกประมาณ 20 นาที ก็ได้เช่นกัน – อย่างไรก็ตาม “ปราสาททาเคดะ” จะมีช่วงเวลาปิดเปิดประจำปี นักท่องเที่ยวควรศึกษาและสอบถามข้อมูลกับทางศูนย์ให้บริการนักท่องเที่ยวให้ละเอียดก่อนเดินทาง

กิจกรรม: ไม่แน่ใจว่าระหว่างการเฝ้ารอชมภาพปราสาทถูกโอบอุ้มให้ลอยฟ้าด้วยม่านหมอก กับการเดินขึ้นเขาไปสูดกลิ่นไอหมอกด้วยตัวเองเป็นเวลาเกือบชั่วโมง อันไหนคือไฮไลท์ที่สำคัญกว่ากันนะ เอาเป็นว่าห้ามพลาดทั้งคู่นั่นแหละดีที่สุด

การเดินทาง: นั่งรถไฟไปลงที่สถานี JR Takeda จากนั้นเดินโดยใช้เส้นทางบนภูเขาทางทิศใต้ เพื่อความปลอดภัยให้สวมใส่รองเท้าที่เหมาะกับการเดินเขา

ข้อมูลเพิ่มเติม: https://visitkinosaki.com/things-to-do/takeda-castle-ruins/

https://www.city.asago.hyogo.jp/kankou/eng/TakedaCastle.html

++++++++++++++++++++

6. เที่ยวเมืองรองของเกาะฮอกไกโด อาซาฮิกาวะ (Asahikawa), เกาะฮอกไกโด

แม้จะไม่ถึงกับเป็นที่ท่องเที่ยวลึกลับ แต่ “อาซาฮิกาวะ” ก็ถือว่าเป็นม้านอกสายตาสำหรับแหล่งท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้ ยิ่งเมื่อเทียบกับเมืองหลักอย่างซัปโปโรที่เป็นที่นิยมสูงสุด หรือแม้แต่กับเมืองท่าสไตล์ยุโรปอย่างโอตารุ ชื่อเสียงของ “อาซาฮิกาวะ” ก็ยังเป็นรองและถูกพูดถึงน้อยกว่ามาก

ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะฮอกไกโด เป็นเมืองใหญ่อันดับสองของจังหวัดรองจากซัปโปโร ถือกำเนิดขึ้นในปี ค.ศ.1922 เพื่อเป็นศูนย์กลางของฮอกไกโดตอนเหนือ และได้กลายเป็นเมืองอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ เนื่องจากอาซาฮิกาวะเป็นเมืองที่มีลำธารมากถึง 130 สาย จึงได้มีการสร้างสะพานมากกว่า 740 แห่ง ในยุคก่อตั้ง สะพานที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ สะพานฮาซาฮิสำหรับข้ามแม่น้ำอิชิการิ ซึ่งได้กลายเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของเมืองตั้งแต่ปี ค.ศ.1932 และเป็นหนึ่งในมรดกของฮอกไกโดอีกด้วย

ในฤดูหนาวของทุกปีจะมีการจัด “งานฤดูหนาวอาซาฮิกาวะ” ขึ้นที่ริมแม่น้ำอิชิการิ มีการแสดงผลงานประติมากรรมน้ำแข็งและเปิดไฟแสงสีสวยงามไม่แพ้ที่ซัปโปโรเลยทีเดียว

กิจกรรม: ว่ากันว่าราเม็งแบบดั้งเดิมของอาซาฮิกาวะนั้น คือรสชาติแห่งสุนทรียะที่หาที่ไหนไม่ได้ และอย่าลืมแวะไปเยือนหมู่บ้านราเม็งที่อยู่ในแถบชานเมืองเด็ดขาดเพื่อเป็นการเพิ่มอรรถรส – และแม้ว่าอาซาฮิกาวะจะเป็นเมืองที่มีเสน่ห์น่าเที่ยวตลอดปี แต่การเล่นสกีในฤดูหนาวที่หิมะโปรยปรายก็เป็นกิจกรรมที่พลาดไม่ได้! นอกจากนั้นยังมีสถานที่น่าสนใจอื่นๆให้ได้แวะเที่ยวชม เช่น สวนสัตว์อาซาฮิยามะ, อุทยานแห่งชาติไดเซ็ทสึซัง, รวมไปถึงพิพิธภัณฑ์และหมู่บ้านต่างๆอีกหลายแห่ง ฯลฯ

การเดินทาง: ใช้บริการรถไฟ JR Hokkaido มาลงที่สถานี Asahikawa

ข้อมูลพิ่มเติม: http://asahikawaic.jp/en/

https://www.city.asahikawa.hokkaido.jp/foreign/d059268.html

++++++++++++++++++++

7. หลบความวุ่นวายมาพักใจที่หมู่บ้านบนเขาชิโมกุริ (Shimoguri-no-Sato), จังหวัดนางาโนะ

ตั้งอยู่บนระดับความสูงจากน้ำทะเล 800-1,000 เมตร บนหุบเขาชิโมกุระส่วนหนึ่งของหุบเขาโทยามะ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองอิอิดะ ในเขตจังหวัดนางาโนะ

หมู่บ้านเล็กๆที่กระจายตัวอยู่ตามพื้นที่ลาดเอียงของภูเขาอย่างมีเอกลักษณ์ ซึ่งผู้คนในพื้นที่ต่างมีความมุ่งมั่นที่จะรักษาเอกลักษณ์เฉพาะตัวนี้ไว้อย่างเหนียวแน่น – ในปี 2010 หมู่บ้านบนเขาแห่งนี้ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่สวยงามที่สุดของญี่ปุ่น และในปีเดียวกันนี้เองที่ชาวท้องถิ่นได้ร่วมกันสร้างจุดชมวิวบนเนินเขาที่เรียกว่า Tenku-no-Sato หรือหมู่บ้านลอยฟ้า ซึ่งเผยให้เห็นทัศนียภาพที่ทั้งสวยงามและชวนตื่นตาตื่นใจอย่างมากของ Minami Alps หรือภูเขาอาคาอิชิ

นอกจากนั้น หมู่บ้านชิโมกุริ ยังเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจที่สตูดิโอชื่อดังอย่าง Ghibli ได้นำไปสร้างเป็นภาพยนต์แอนิเมชั่นหลายๆเรื่อง จนทำให้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในวงกว้างในปัจจุบัน

กิจกรรม: หลบความวุ่นวายมาพักผ่อนที่หมู่บ้านบนเนินเขา แล้วไปชมวิวทิวทัศน์มุมสูงที่เนินชมวิวของหมู่บ้าน ปล่อยใจไปกับความสงบที่โอบล้อมด้วยธรรมชาติแบบแท้ๆ รับรองว่าจะฟินจนแทบไม่อยากกลับกันเลยทีเดียว

การเดินทาง: วิธีที่สะดวกที่สุดคือเดินทางด้วยรถยนต์ โดยใช้ทางด่วน Chuo Expressway ใช้เวลาประมาณ 75 นาที จากทางแยกต่างระดับ Lida Interchange ซึ่งถนนก่อนถึงหมู่บ้าน (ประมาณ 15 นาทีสุดท้ายของการเดินทาง) จะเป็นถนนแคบๆและยากต่อการเดินทาง นักท่องเที่ยวต้องเดินทางอย่างระมัดระวัง

ข้อมูลเพิ่มเติม: https://visitiida.com/collections/collection10/

http://www.shimoguri.com/access.html

++++++++++ ♦ ++++++++++

จบแล้วนะคะสำหรับ 7 ที่เที่ยวนอกสายตาในประเทศญี่ปุ่น ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะทำให้ทุกคนเพลิดเพลินและได้ไอเดียใหม่ๆในการท่องเที่ยวญี่ปุ่นในทริปหน้า… เพราะการได้ลองแฉลบออกนอกเส้นทางไปบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป หากแต่จะเพิ่มความรู้การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและประสบการณ์ชีวิต แม้หลายๆที่อาจไม่ได้มีกิจกรรมที่โดดเด่นมากมาย แต่ก็อาจจะเป็นออปชั่นที่สร้างความประทับใจได้อย่างไม่คาดคิดก็ได้นะ ?

++++++++++ END ++++++++++

By Pok Safin

สามารถซื้อตั๋ว/กิจกรรม Hokkaido ได้ที่ Klook

สามารถซื้อตั๋ว/กิจกรรม Kyoto ได้ที่ Klook

สามารถซื้อตั๋ว/กิจกรรม Kyushu ได้ที่ Klook

ข้อมูลในหน้านี้อาจมีข้อมูลในวันที่เผยแพร่ แม้ว่าเราจะพยายามอัปเดตข้อมูลอย่างต่อเนื่อง แต่โปรดทราบว่าข้อมูลบางอย่างอาจไม่ได้รับการอัปเดต

ค้นหากิจกรรมบน Klook ได้เลยจากด้านล่างนี้!

ค้นหากิจกรรมบน Klook ได้เลยจากด้านล่างนี้!

ถ้าคุณชอบบทความนี้
กด "ถูกใจ" ด้วย!

กด “ถูกใจ” และรับข้อมูลล่าสุด!

RELATED POST