การเดินทางด้วยรถไฟในญี่ปุ่นนั้นเป็นหนึ่งในกิจกรรมปราบเซียนของนักท่องเที่ยวเลยก็ว่าได้ ต่อให้เดินทางไปญี่ปุ่นมาแล้วกี่ครั้ง คุณจะได้พบประสบการณ์การหลง ตกรถไฟ ขึ้นผิดขบวน ลงผิดสถานี ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งแน่นอน เพราะฉะนั้น 9 ข้อที่กำลังจะได้อ่านต่อไปนี้ น่าจะช่วยให้สามารถเตรียมตัวเดินทางด้วยรถไฟในญี่ปุ่นได้อย่างราบรื่นมากขึ้นไม่มากก็น้อยค่ะ
1. ตรงเวลา
ความตรงเวลาของรถไฟอาจไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดสำหรับประเทศอื่น ๆ เพราะในประเทศที่มีระบบรถไฟให้บริการส่วนมากแล้วจะตรงเวลา มีการแสดงเวลาและขบวนที่กำลังจะมาถึงทุกขบวน ทุกชานชาลา ทุกสถานี ซึ่งก็แปลกที่ทำไมในเมืองไทยถึงยังไม่สามารถมีสิ่งนี้ได้เสียที แต่เอาเป็นว่า ถ้าหากต้องใช้บริการสถานีรถไฟในสถานีที่ไม่คุ้นเคย ก็ควรเผื่อเวลาไว้ซักครึ่งชั่วโมงค่ะ เพราะยังมีเรื่องราวเซอร์ไพรส์รออยู่อีก 8 ข้อ อิอิ
2. จะใหญ่ไปไหน
การเดินเปลี่ยนขบวนรถไฟที่ญี่ปุ่นในบางสถานีก็ไม่ได้ง่ายเหมือนกับเปลี่ยนจากสถานีสุขุมวิทไปสถานีอโศก เพราะถ้าหากต้องไปเปลี่ยนขบวนที่สถานีใหญ่ ๆ อย่างโตเกียวหรือชินจูกุ ก็ต้องเป็นงงเอาได้เพราะมันใหญ่มากกกก และยิ่งสถานีมีพื้นที่ใหญ่เท่าไหร่ นั่นหมายถึงปริมาณคนก็จะมากตามไปด้วย บางครั้งอาจต้องใช้เวลาเดินเกือบสิบนาทีกว่าจะถึงอีกชานชาลาหรือประตูทางออก หรือถ้ามองป้ายผิด เดินไปผิดทิศก็อาจทำให้ต้องเดินย้อนจนจั๊กเปียกได้เลย การเตรียมตัวสำหรับข้อนี้คือ เผื่อเวลาเดิน (หลง) ไว้ประมาณ 10-15 นาที สวมรองเท้าที่เดินสบาย และมองป้ายดี ๆ ค่ะ
3. ร้านรวงล่อตาล่อใจ
นอกจากความใหญ่ของสถานีที่ทำให้เราหอบแฮ่กแล้ว ระหว่างทางที่เราเดินผ่านภายในสถานีเองก็ยังมีร้านขายของนานาชนิด ทั้งร้านขนม ร้านอาหารที่ส่งกลิ่นหอมมายั่วยวล ร้านเสื้อผ้า ของใช้เก๋ ๆ หรือร้านของเล่นการ์ตูนต่าง ๆ ที่จะมาทำให้เราต้องหยุดแวะดู แวะซื้อในเวลาเร่งรีบ อย่างเราจะแพ้ของต่าง ๆ ที่เป็นโตโตโร่มาก ๆ ถ้ารู้ว่าจะต้องผ่านสถานีโตเกียวละก็ ต้องมีการเผื่อเวลาไว้เลยอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง แม้จะไม่ได้ซื้อแต่ก็ขอเข้าไปเยี่ยมชมในร้านให้สบายใจก็ยังดีค่ะ : )
4. ตั๋ว
ในเมื่อญี่ปุ่นนั้นมีชื่อเรื่องการเดินทางด้วยรถไฟแล้ว มีหรือที่เค้าจะมีรถไฟเพียงแบบเดียวให้บริการ เมื่อมีรถไฟหลายรูปแบบ การซื้อตั๋วก็ย่อมแตกต่างด้วยเช่นกัน ถ้าหากเดินทางไม่ไกลมากเราก็สามารถซื้อตั๋วได้ที่หน้าตู้ด้วยเงินสดได้ด้วยตัวเอง หรือถ้าใช้บัตรเติมเงิน IC Card ก็สบายหน่อย แต่ถ้าหากต้องเดินทางออกต่างเมืองด้วย JR ก็ต้องมีการจองที่นั่งล่วงหน้าทางออนไลน์หรือซื้อตั๋วที่เคาน์เตอร์ในวันเดินทาง ซึ่งถึงแม้จะจองตั๋วทางเว็บแล้วก็ตาม เราก็จะได้เป็น voucher เพื่อไปแลกตั๋วจริงที่เคาน์เตอร์อีกทีอยู่ดี ดังนั้นจึงขอย้ำอีกครั้งในการเผื่อเวลาหาเคาน์เตอร์และแลกตั๋วเพิ่มอีก 10-15 นาทีค่ะ
5. ไม่มีบันไดเลื่อน
ใช่ค่ะ ถ้าหากเป็นวันสบาย ๆ เดินทางชิล ๆ ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้มาก แต่ถ้าวันไหนต้องลากกระเป๋าเดินทางไปด้วยละก็ เตรียมใจไว้ได้เลยค่ะ มันจะทุลักทุเลพอสมควรเลย คำแนะนำสำหรับข้อนี้คือ แพคของไปเท่าที่จำเป็น และเลือกใช้บริการฝากของที่เคาน์เตอร์ในสถานีหรือล็อกเกอร์หยอดเหรียญหากต้องเดินทางเปลี่ยนหลายเมือง [อ่านเพิ่มเติม]
6. เสียงนก
ในช่วงเวลาเร่งรีบของการเดินทาง หลายคนอาจไม่ได้สังเกตว่าภายในชานชาลาจะมีเสียงนกร้องจิ๊บ ๆ ตลอดเวลา ซึ่งตอนแรกที่ได้ยินก็คิดว่าเป็นนกจริง ๆ บินหลงเข้ามาในชานชาลา จนเราเริ่มสังเกตเองว่าทำไมได้ยินเสียงนกทุกสถานี จึงได้ลองถามเพื่อนเล่น ๆ ว่าเสียงนกนี้เค้าเปิดเพื่อสร้างบรรยากาศรึเปล่า แต่คำตอบคือไม่ใช่เลย เสียงนกที่ได้ยินนั้นเป็นสัญญาณเตือนสำหรับผู้พิการทางสายตา ในจุดที่เป็นบันไดเลื่อน บันไดธรรมดา และทางออกต่างหาก บางสถานีก็จะใช้เสียงนกที่ต่างกันระหว่างทางขึ้นกับทางลงด้วยค่ะ
7. ไม่แซงคิว
ข้อนี้เป็นวัฒนธรรมที่คนไทยเพิ่งจะเอามาปรับใช้ได้ในประเทศเราเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ก็ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีมาก ๆ โดยเฉพาะเวลาต่อแถวขึ้นรถไฟ สำหรับคนญี่ปุ่นนั้น ถ้าหากว่าคนที่จะลงจากรถไฟยังออกมาไม่หมด คนที่กำลังรอจะขึ้นก็ยังจะไม่เดินแทรกเข้าไปเด็ดขาด ดังนั้นคนที่ต่อคิวหน้าสุดก็จะต้องคอยสังเกตว่ายังมีคนข้างในกำลังเดินออกมาอยู่หรือไม่ ถ้าไม่มีแล้ว หัวแถวก็จะเดินนำเข้าไปในขบวนทันทีค่ะ
8. ไม่ส่งเสียง
ทุกอย่างที่ทำให้เกิดเสียงล้วนเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเมื่อขึ้นโดยสารรถไฟในญี่ปุ่นค่ะ เสียงโทรศัพท์ เสียงพูดคุยหัวเราะต่าง ๆ ควรงดเว้น และควรตั้งใจฟังเสียงประกาศและป้ายบอกสถานีจะดีที่สุดค่ะ เพราะรถไฟในญี่ปุ่นนั้นบางครั้งก็มีการเปลี่ยนแปลงเส้นทางกะทันหัน และมักจะประกาศเป็นภาษาญี่ปุ่น เพราะฉะนั้นเราต้องคอยสังเกตว่าเรากำลังเดินทางอยู่ในเส้นทางเป็นระยะ ๆ
9. การเปลี่ยนเส้นทางกะทันหัน
ข้อสุดท้ายนี้เจอมากับตัว และไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นได้กับรถไฟในญี่ปุ่น คือการเปลี่ยนเส้นทางเดินรถกะทันหัน แต่ข้อมูลกลับไม่อัปเดตบน Google Maps ในเวลานั้นจากเส้นทางเดิมคือนั่งยาวโดยไม่เปลี่ยนสถานีกลางทาง แต่รถไฟดันจอดที่สถานีหนึ่งระหว่างทางและวิ่งกลับไปทางเดิม เราก็เลยลังเลว่าใครผิด เราดูผิด หรือยังไง แต่ในแมพก็ยังบอกให้นั่งยาวอยู่ ปรากฏว่าในระหว่างที่จอด ณ สถานีนั้นเค้าได้มีประกาศแล้วว่าจะไม่วิ่งต่อ แต่มันเป็นภาษาญี่ปุ่น คนที่ฟังรู้เรื่องก็พากันเดินออกจากขบวนรถเกือบหมด ดังนั้น ก็อยากจะแนะนำว่าอย่าไว้ใจเทคโนโลยีซะทีเดียว ต้องหมั่นสังเกตคนท้องถิ่น เสียงประกาศ และป้ายต่าง ๆ ไว้เสมอค่ะ
ถึงแม้จะมีข้อปฏิบัติเยอะแยะมากมาย แต่ก็ไม่ต้องกังวลไปค่ะ เพราะถึงเราจะเตรียมตัวไปดีแล้วก็ตาม แต่ก็อาจจะเจอกับอุปสรรคที่ไม่คาดคิดก็ได้ และเมื่อถึงเวลานั้น คนญี่ปุ่นก็พร้อมจะช่วยคุณเสมอค่ะ : )