สำหรับมนุษย์บ้าหอบฟางแล้ว ไม่มีคำว่าเกินความจำเป็นในพจนานุกรมของพวกเค้า เพราะของทุกชิ้นที่หยิบใส่กระเป๋าก่อนออกเดินทางนั้น ได้ถูกคิดแล้วว่ามีความสำคัญในยามฉุกเฉินทั้งสิ้น แต่การเดินทางไปในแต่ละจุดหมายในญี่ปุ่นนั้นก็อาจทำให้คนช่างหอบต้องหอบได้ เพราะแค่การเดินออกจากสถานีรถไฟที่ไม่มีลิฟต์หรือบันไดเลื่อนด้วยการยกกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ขึ้นบันไดที่สูงท่วมหัวนั้น ก็ทำให้จั๊กกะแร้เปียกได้เลยทีเดียว
![](https://ohhotrip.com/wp-content/webp-express/webp-images/doc-root/wp-content/uploads/2020/07/Day1_00035-768x965.jpg.webp)
ตู้ล็อกเกอร์หยอดเหรียญ จึงได้เกิดขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกไม่เฉพาะแค่คนญี่ปุ่นเท่านั้น แต่สำหรับนักเดินทางแล้วมันมีประโยชน์มาก หากต้องเดินทางโดยมีสถานีรถไฟเป็นจุดเชื่อมต่อ อย่างทริปล่าสุด เราใช้ตู้ล็อกเกอร์เป็นที่ฝากกระเป๋าในโตเกียว ก่อนจะออกเดินทางไปค้างคืน 2 คืน ที่โอดาวาระ แล้วจึงกลับมาโตเกียวอีกครั้ง โดยที่ไม่ต้องลากกระเป๋าใบยักษ์กลับไปกลับมาให้ปวดไหล่ หรือในบางวันที่เราเตรียมเสื้อแจ็คเก็ตไปในตอนเช้าเพราะอากาศเย็นนิด ๆ หรือมีฟ้าครึ้มเหมือนฝนจะตกเราก็พกร่มไป แต่พบว่าพอตอนสายกลับเริ่มร้อนและของเหล่านั้นก็กลายเป็นส่วนเกิน ไม่จำเป็นอีกแล้ว เราก็สามารถเอาเสื้อหรือร่มไปใส่ในล็อกเกอร์ในสถานีรถไฟไว้ก่อน ขากลับก็มาเก็บของกลับไปสบาย ๆ หรือสำหรับนักช้อป เช้าช้อปย่านนึง บ่ายอีกย่านนึง ตู้ล็อกเกอร์ก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ทำให้ไม่ต้องหอบหิ้วของพะรุงพะรังไปด้วยทุกที่
โดยปกติแล้วตู้ล็อกเกอร์หยอดเหรียญจะตั้งอยู่ตามสถานีรถไฟใหญ่ ๆ แต่ก็ใช่ว่าจะมีเหลือเฟือให้เลือกใช้ได้อย่างสบายใจ อย่างตู้ในสถานีชินจูกุเราก็อาจจะต้องใช้ดวงซักหน่อยหากจำเป็นต้องใช้ตู้ขนาดใหญ่ เพราะในหนึ่งจุดที่ตั้งของตู้จะประกอบด้วยตู้ขนาดเล็ก (กว้าง 34 x สูง 35 x ลึก 57 ซม.) ที่มีจำนวนมากที่สุด รองลงมาเป็นตู้ขนาดกลาง (กว้าง 34 x สูง 57 x ลึก 57 ซม.) และตู้ขนาดใหญ่จะมีจำนวนน้อยที่สุด (กว้าง 34 x สูง 117 x ลึก 57 ซม.) แต่ละตู้จะมีค่าบริการต่อวันต่างกันไปตั้งแต่ 400 ถึง 800 เยน ตามลำดับขนาดของตู้ ซึ่งในกรณีที่เราต้องการฝากข้ามคืน ก็ให้คูณค่าบริการไปตามวันปฏิทิน สามารถทิ้งสัมภาระไว้ในล็อกเกอร์ได้ไม่เกิน 3 วันปฎิทิน หากฝากของไว้เกิน 1 วัน ในวันที่จะมาเอาของออกก็แค่หยอดเหรียญเข้าไปเพิ่มจึงจะเปิดตู้ได้ แต่ถ้าหากครบ 3 วันแล้วยังไม่มีการมาเปิดตู้เอาของออก จะมีเจ้าหน้าที่มาเก็บของเพื่อเคลียร์ตู้ให้เอง เราก็แค่ต้องไปรับของคืนที่เคาน์เตอร์ค่ะ
![](https://ohhotrip.com/wp-content/webp-express/webp-images/doc-root/wp-content/uploads/2020/07/OhhoTrip_Locker_Shinjuku-Station-768x959.jpg.webp)
วิธีการใช้ตู้ก็ไม่ยากเลยค่ะ สิ่งที่ยากคือการหาตู้ที่ว่างให้เจอ ส่วนใหญ่แล้วจุดที่วางตู้จะอยู่ตามทางเข้าออกของสถานีและภายในสถานี กระจายกันไป ซึ่งถ้าหากจุดที่สะดวกสำหรับเรามันเต็มหมด ก็อาจจะต้องลองเดินข้ามไปอีกฝั่งของสถานีเพื่อหาตู้ที่ว่าง และที่สำคัญควรจะถ่ายรูปที่ตั้งของแผงตู้นั้นไว้ด้วยกันลืมค่ะ เมื่อเราเจอตู้ว่างแล้ว ก็จัดการใส่สัมภาระของเราเข้าไปได้เลยค่ะ หลังจากนั้นก็หยอดเหรียญ 100 เยนเข้าไปตามราคาของตู้นั้น ๆ จังหวะนี้ถ้าใครมีเหรียญไม่พอก็สามารถแลกเหรียญที่ตู้แลกเหรียญที่มักจะตั้งอยู่ใกล้ ๆ กันได้ แต่บางตู้ก็สามารถจ่ายด้วย IC Card อย่าง Suica หรือ Pasmo ได้แล้วก็จะสะดวกอีกแบบจากนั้นตู้ของเราจะถูกล็อกจนกว่าเราจะเอากุญแจมาไขเปิด
นอกจากสถานีรถไฟแล้ว ตามแหล่งท่องเที่ยวใหญ่ ๆ ก็มีตู้ล็อกเกอร์ให้บริการด้วยเช่นกัน อย่างเช่น Universal Studios Japan จากประสบการณ์ของเราคือ เดินทางจากโตเกียวมาถึง USJ ในเวลาเช้าตรู่พร้อมกับสัมภาระทั้งหมดเพราะเรามีแผนจะค้างที่โอซาก้าในคืนวันนั้น ที่ USJ จะมีพื้นที่สำหรับตู้ล็อกเกอร์ใหญ่มากตั้งอยู่ใกล้กับประตูทางเข้า ถ้าไปถึงแต่เช้าก็พอจะสามารถเลือกตู้ที่อยู่นอกสุดได้ ในบริเวณเดียวกันก็มีห้องน้ำใหญ่มากอยู่ด้วย เราจึงได้ล้างหน้า แปรงฟัน เปลี่ยนชุดและฝากสัมภาระทั้งหมดไว้ในล็อกเกอร์ก่อนที่จะเข้าไปเล่นใน USJ แบบตัวเบาหวิว เป็นอะไรที่สะดวกมาก ๆ แต่ถ้าหากใครมีสัมภาระที่ใหญ่เกินกว่าจะใส่เข้าไปในตู้ได้ ก็ขอแนะนำว่าให้ไปที่เคาน์เตอร์รับฝากของจะดีที่สุดค่ะ ส่วนใหญ่จะมีให้บริการที่สนามบินและสถานีรถไฟใหญ่ ๆ ที่นั่นจะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลสัมภาระของเรา ซึ่งจะถูกเก็บรวมกันในห้องเก็บสัมภาระ และค่าบริการก็จะสูงกว่าเล็กน้อยค่ะ
เรียกได้ว่าตู้ล็อกเกอร์หยอดเหรียญนั้นเป็นเหมือนจิ๊กซอว์ตัวเล็ก ๆ แต่สำคัญมาก ๆ ในการเดินทางแต่ละครั้ง สามารถทำให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางด้วยตัวเองและอาจจะบ้าหอบฟางสามารถปลดความกังวลลงไปได้มากทีเดียว ขอแค่อย่าลืมว่าฝากของไว้ที่ล็อกเกอร์ ไม่งั้นจากเรื่องง่ายจะกลายเป็นลำบากแทนนะคะ : )
• เช็กสถาานะตู้ล็อกเกอร์ในสถานีรถไฟโตเกียวได้ที่เว็บนี้
http://www.akilocker.biz/mobile/area.html?locationId=JR_TOKYO&lang=2
• Credit
https://www.japan-guide.com/e/e2274.html