เชื่อว่าหลายคนคงจะรู้จักและคุ้นเคยกับ แมวกวัก (Manekineko) สัญลักษณ์นำโชคตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่นที่ช่วยกวักเงินกวักทองมาให้เจ้าของ หรือจะเป็นเรื่องความรัก สุขภาพ การงาน การเรียน แมวกวักก็สามารถกวักโชคในแต่ละด้านมาให้ได้เช่นกัน แต่น้อยคนที่จะรู้ว่าที่ญี่ปุ่นเนี่ยเค้ามีพิพิธภัณฑ์แมวกวักด้วยนะ!!! ขอบอกเลยว่าเหล่าทาสแมวทั้งหลายไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงค่ะ
ก่อนจะออกเดินทางกัน เรามาทำความรู้จักกับความหมายของแมวกวักกันก่อน เวลาที่เราไปเลือกหาแมวกวักมาไว้ในครอบครองจะได้เลือกได้ตรงตามความต้องการของเรา สิ่งที่ต้องสังเกตลำดับแรกคือ เท้าของน้องที่ใช้กวัก เท้าข้างขวาหมายถึงกวักเรียกเงินเรียกทอง ส่วนเท้าข้างซ้ายหมายถึงกวักเรียกแขกหรือลูกค้าให้มาเข้าร้าน โดยที่ถ้าเจอน้องที่ใช้เท้าทั้งสองข้างกวัก นั่นก็หมายถึงกวักเรียกทั้งเงินทองและลูกค้านั่นเองค่ะ
ลำดับถัดมาเป็นเรื่องของสีบนตัวน้อง สีที่นิยมมากที่สุดจะเป็นแมวกวักสามสี เป็นแมวกวักที่มีสีขาวเป็นสีพื้นและมีลายแต้มสีดำขอบเหลือง ช่วยในเรื่องโชคลาภเงินทอง ส่วนสีอื่น ๆ ที่เป็นที่นิยมรองลองลงมาได้แก่ สีดำช่วยเรื่องปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย ภัยอันตรายต่าง ๆ สีแดงช่วยเรื่องสุขภาพ สีเหลืองหรือสีทองช่วยเสริมความมั่งคั่งร่ำรวย สีชมพูช่วยเรื่องความรักหรือคู่ครอง เป็นต้น ซึ่งนอกจากประโยชน์ในเรื่องของความเชื่อแล้ว น้องแมวกวักก็ยังถูกพัฒนาในเชิงศิลปะและพาณิชย์อยู่เรื่อย ๆ ทำให้ถึงแม้ว่าบางคนอาจจะไม่ได้เชื่อในเรื่องการกวักโชค แต่ความน่ารักและความสวยงามทางศิลปะ ก็ทำให้น้องกลายเป็นงานศิลปะที่น่าซื้อเก็บไว้ประดับบ้านหรืออาจกลายเป็นของสะสมในที่สุดอย่างเช่นพิพิธภัณฑ์ที่กำลังจะพาไปนี่เองค่ะ
พิพิธภัณฑ์แมวกวัก (Manekineko Museum)
เรื่องของแมวกวักก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่คนญี่ปุ่นให้ความจริงจัง ถึงขนาดมีการตั้งสมาคมคนรักแมวกวัก The Association for Manekineko Japan ขึ้นในปี ค.ศ. 1993 เป็นสมาคมที่เป็นการรวมตัวของผู้คนที่ชื่นชอบและหลงรักในแมวกวัก เพื่อให้ได้มาพบปะแลกเปลี่ยนสิ่งที่ชื่นชอบด้วยกัน ทำให้ในเวลาต่อมา พิพิธภัณฑ์แมวกวักที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นก็ได้ถูกสร้างขึ้นในเมืองเซโตะ จังหวัดไอจิ ซึ่งที่แห่งนี้ถือว่าเป็นพื้นที่แหล่งผลิตตุ๊กตาแมวกวักแห่งแรกของญี่ปุ่นตั้งแต่ยุคเมจิ ภายในพิพิธภัณฑ์เป็นที่รวบรวมแมวกวักจำนวนหลายพันชิ้นจากการสะสมของ Koji Bando และ Chihiro Arakawa ผู้ซึ่งเป็นผู้ดูแลสมาคมด้วยนั่นเอง
น้องแมวกวักที่ถูกจัดแสดงภายในพิพิธภัณฑ์นี้ถูกรวบรวมมาจากหลายแห่งทั่วญี่ปุ่นเลยค่ะ ซึ่งทำให้เราได้เห็นน้องในรูปแบบที่หลากหลายทั้งหน้าตา สีสัน วัสดุ และลวดลายบนตัวน้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรูปร่างของน้องก็มีการปรับเปลี่ยนตามยุคตามสมัย จากรูปร่างผอมเพรียวในยุคแรก ๆ ต่อมาน้องแมวกวักก็ได้ถูกพัฒนาหุ่นให้มีความอวบ ดูอิ่มเอิบ อุดมสมบูรณ์มากขึ้นในยุคปัจจุบัน และที่สำคัญคือรูปปั้นแมวกวักบางชิ้นก็กลายเป็นของหายากไปแล้ว การมาเยือนพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จึงเป็นการเรียนรู้ศิลปะและวัฒนธรรมผ่านน้องไปด้วยในตัวค่ะ
นอกจากส่วนจัดแสดงของน้องแล้ว ที่นี่ก็ยังมีการจัด Workshop ให้เราได้วาดลวดลายลงบนรูปปั้นเซรามิกแมวกวักด้วยตัวเองอีกด้วย หลังจากวาดเสร็จแล้ว ทางพิพิธภัณฑ์จะนำไปเผาตามขั้นตอนการทำเซรามิก ใช้เวลาประมาณ 1 เดือนจึงจะได้รับผลงานของเรามาครอบครองค่ะ ซึ่งหากไม่สามารถไปรับน้องแมวกวักที่เสร็จสมบูณณ์แล้วได้ด้วยตนเอง เค้าก็มีบริการจัดส่งให้โดยคิดค่าส่งต่างหากค่ะ แต่ถ้าใครไม่อยากรอเป็นเดือน เค้าก็มีสินค้าแมวกวักน่ารัก ๆ ให้ได้ช้อปด้วยเช่นกัน หรือสายคาเฟ่เค้าก็มีคาเฟ่เล็ก ๆ น่ารัก ๆ ให้นั่งเล่น กินขนม ถ่ายรูปเล่นลงไอจีเก๋ ๆ ระหว่างรอเพื่อนก็ได้ค่ะ
หากเริ่มอยากออกเดินทางแล้วละก็ ง่ายนิดเดียวค่ะ แต่ใช้เวลานิดนึง การเดินทางไปยังพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงจากสถานีรถไฟนาโกย่า ผู้ใหญ่เสียค่าเข้าชม 300 เยน นักเรียน นักศึกษาเสียค่าเข้าชม 200 เยน ส่วนเด็กเล็กเข้าชมฟรี และนอกจากนี้ถ้าหากใครมีโอกาสได้เดินทางไปในช่วงฤดูใบไม้ร่วงละก็ เค้าจะมีการจัดงาน Manekineko Festival ขึ้นทุก ๆ ปีช่วงปลายเดือนกันยายนเนื่องในวันแมวกวัก (29 กันยายน) ด้วยนะคะ แต่สำหรับปีนี้อาจจะต้องรอตามข่าวกันอีกทีว่าจะมีการจัดงานขึ้นหรือไม่ค่ะ
แม้ว่าพิพิธภัณฑ์แมวกวักนี้จะเปิดให้บริการมานานแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากนัก หากใครได้มีโอกาสเดินทางไปนาโกย่าคราวหน้า นอกจากจะไปกินข้าวหน้าปลาไหลย่างสูตรต้นตำรับแล้ว ก็อยากให้ลองปักหมุดไปที่นี่กันดูนะคะ หวังว่าคงจะถูกใจชาวทาสแมวทุกคนค่ะ เมี้ยว =^,^=
Museum Location
https://goo.gl/maps/mr8rtJfpHeYVqRcA9
Credit :
https://www.manekinekoclub.org/
https://ja.wikipedia.org/wiki/%E6%8B%9B%E3%81%8D%E7%8C%AB